
01
Dec
เยอรมนี
GRAND GERMANY 11 DAY 1-18 THE COMPASS BY ONE WORLD TOUR
Grand Germany 11 วัน #1 ?? อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักเดินทางผู้ต้องการสัมผัสธรรมชาติและอยากย้อนเวลาหาอดีตอันน่าพิศวง เรื่องราวต่างๆ ราวกับเทพนิยายโบราณของปราสาทยุคกลางที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เมืองน้อยใหญ่ที่มีความสวยงามคลาสิคอีกมากมายหลายเมืองที่ก่อให้เกิดตำนานอันน่าค้นหามาตั้งแต่ยุคโรมันจนถึงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และด้วยมีขนาดพื้นที่ถึง 357,021 ตารางกิโลเมตร และภูมิประเทศที่มีความแตกต่างกันที่บางส่วนของทิศเหนือติดกับทะเลบอลติกและทะเลเหนือ จนเกิดเมืองท่าสำคัญอย่าง ฮัมบูร์ก เบรเมน และ รอสต๊อก และทิศใต้ยังติดกับเทือกเขาแอลป์ในแคว้นบาวาเรีย อันเป็นจุดกำเนิดเส้นทางที่สุดแสนโรแมนติกและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเขต ‘ป่าดำ’ ที่น่าไปเยือนสักครั้งหนึ่ง ตลอดจนหมู่บ้านโบราณตั้งแต่ยุคโรมัน จนถึงยุคกลางที่ไดรับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกหลายแห่ง มีสายน้ำโมเซล และแม่น้ำไรน์ไหลคดเคี้ยวผ่านตอนกลางของประเทศทอดตัวผ่านไร่องุ่น หมู่บ้าน และปราสาทโบราณ ทำให้เยอรมนีเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการมาสัมผัสกับความสวยงามที่น่าหลงใหลเหล่านี้ อย่าลืมติดตามเรื่องราวของเส้นทางสายแกรนด์เยอรมนีในตอนต่อๆ ไปด้วยนะครับ

Grand Germany 11 วัน #2 ?? หลังจากที่มาถึงสนามบินแฟรงค์เฟิร์ตแล้ว จุดหมายแรกของเราคือเมือง ‘วือซ์บวร์ก’ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของของแฟรงก์เฟิร์ตเพียง 110 กิโลเมตรเท่านั้น วือซ์บวร์กตั้งอยู่ตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย เป็นอีกเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองสไตล์บารอกที่สวยที่สุดในเยอรมนี’ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางผลิตไวน์ขาวที่มีชื่อเสียงในเขตฟรังโกเนียอีกด้วย วือซ์บวร์กได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่แคว้นบาวาเรีย หรือจุดเริ่มต้นของ ‘เส้นทางสายโรแมนติก Romantic Road’ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกนั่นเอง หากเราลองหลับตาและสมมุติว่าเราย้อนเวลากลับไปยืนอยู่บนทางสายนี้เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เราคงจะได้เห็นขบวนของกองทัพโรมันอันเกรียงไกรเดินทัพผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์เส้นนี้ ตลอดระยะทาง 350 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นที่เมืองวือซ์บวร์กมุ่งหน้าลงไปทางใต้ ผ่านหมู่บ้านหรือชุมชนโบราณถึง 30 แห่ง จนไปสิ้นสุดเส้นทางสายโรแมนติกนี้ที่เมือง ‘ฟุสเซ่น’ ผ่านหมู่บ้านที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขา ชุนชนที่สร้างบ้านเรือนอยู่ริมลำธารสายน้อย ป้อมปราการ กำแพงเมืองโบราณ และปราสาทที่สวยงามอลังการที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมผาสูงจะค่อยๆ ปรากฎให้เราได้เห็นในการเดินทางในวันต่อๆ ไปอย่างแน่นอน โอกาสหน้าเราจะมาเดินเล่นชมเมืองวือซ์บวร์กก่อนที่จะตามรอยเส้นทางสายโรแมนติกนี้กันต่อครับ

Grand Germany 11 วัน #3 ?? ️ เราเริ่มต้นเที่ยวเมืองวือซ์บวร์กโดยเดินข้ามสะพานหิน ‘อัลเทอไมน์บรึค ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1473 เพื่อทดแทนสะพานโรมันเดิมที่ถูกทำลายไปเมื่อปี 1133 สะพานแห่งนี้มีไว้สำหรับป้องกันเมืองจากศัตรูที่มาทางเรือ ต่อมาก็มีการนำรูปปั้นนักบุญ 12 องค์มาประดับอยู่สองฝั่งสะพาน เช่น นักบุญจอห์น เนโปมุก หรือรูปปั้นนักบุญชาวไอริชทั้ง 3 คือ กิลเลียน,โคโลเนท และโททนัน ที่นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแผ่ยังเขตฟรังโกเนียเมื่อปี 680 และยังนำรูปปั้นของ ‘จักรพรรดิ ชาร์เลอมาญ’ จักรพรรดิองค์แรกในนาม “จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” ถือเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปในสมัยกลางมาประดับบนสะพานแห่งนี้ด้วย จากบนสะพานเมื่อมองออกไปด้านข้างจะเห็นไร่องุ่นเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำไมน์ และหากมองกลับไปยังเนินเขาด้านหลังเราจะเห็น ‘ป้อมมาเรียนแบร์ก’ ที่สร้างโดยชนเผ่าเซลติกเมื่อประมาณ 650 ปีก่อนคริสตกาล ปราการโบราณนี้ผ่านกาลเวลามาจนถึงศตวรรษที่ 13-18 ก็ใช้เป็นที่ประทับและเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเจ้าบิชอปแห่งวือซ์บวร์กอีกหลายพระองค์ เมื่อเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งเราก็จะเห็นตัวเมืองเก่าที่สวยงามรอเราไปเยือนอยู่เบื้องหน้าที่เมื่อปี 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษได้ทำให้เมืองที่สวยงามแห่งนี้กลายเป็นซากอิฐและกองหินที่ไร้ค่าในเวลาเพียงไม่กี่นาที !!!

Grand Germany 11 วัน #4 ?? ผลจากการทิ้งระเบิดในครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ กลายเป็นซากปรักหักพัง ชาวเมืองเสียชีวิตหลายพันคน ภายหลังจากสงครามสงบได้มีการบูรณะซ่อมแซมฟื้นฟูเมืองขึ้นมาใหม่แต่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วนจนเมืองวือซ์บวร์กกลับมาสวยงามมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เช่น ศาลาว่าการเมืองที่สร้างในสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์มีหอนาฬิกาในแบบโรมาเนสก์สูงถึง 55 เมตร, ‘โบสถ์มาเรียนคาเปล’ โบสถ์สไตล์โกธิกที่ตัวอาคารโดดเด่นด้วยการทาสีขาวตัดกับสีแดง ถัดมาคือ ‘Falkenhaus’ อาคาร 3 ชั้นสีเหลืองอ่อนที่จั่วด้านหน้าสร้างในแบบบารอก บนมุขด้านหน้าประดับด้วยปูนปั้นแบบรอกโคโค และ ‘โบสถ์นอยมึนส์เตอร์’ ที่สร้างในแบบโรมาเนสก์ ไบเซนไทน์ และบาโรก สิ่งที่เราจะพลาดไม่ได้เลยคือการเข้าไปชม ‘พระราชวังวือซ์บวร์ก’ พระราชวังสไตล์บารอกที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1982 ภายในพระราชวังตกแต่งด้วยศิลปะแบบบาโรก รอกโคโค และนีโอคลาสิคอันหรูหราอลังการ ภาพเขียนเพดานแบบเฟรสโก ฝีมือของ ‘โจวันนี บัตติสตา ตีเอโปโล’ จิตรกรยุคบาโรกในศตวรรษที่ 18 จากเมืองเวนิช หลังจากที่เราอิ่มเอมกับการชมความงดงามของพระราชวังแห่งนี้แล้ว เราต้องเดินทางไปยังเมือง’โรเธนเบิร์ก’กันต่อครับ แค่ 60 กิโลเมตรเอง #Covid19จบเราไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #5 ?? เรามาถึงเมือง “โรเธนเบิร์ก” ก็ช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว เมื่อเดินผ่านกำแพงเมืองโบราณเข้าไปด้านในความรู้สึกเหมือนกับว่าเรานั้นได้ตกเข้าไปอยู่ในหนังสือนิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์เลยที่เดียว ป้อมปราการที่เชื่อมต่อกับกำแพงเมืองทั้งสี่ด้านยังคงสภาพเดิมเหมือนเมื่อพันกว่าปีก่อน บ้านเรือนในแบบ Half-timbered house เรียงรายอยู่สองข้างทางเดินที่ปูด้วยก้อนหินสีเทา ไม่แปลกใจเลยที่โรเธนเบิร์กยังคงสภาพของเมืองยุคกลางดีที่สุดของอีกแห่งหนึ่งของเยอรมัน เราเดินลอดใต้ “หอคอยขาว” Weisserturm หอคอยเก่าที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ผ่าน “โบสถ์เซนต์จาคอบ” ที่เก็บตลับคริสตัลที่บรรจุหยดโลหิตพระเยซูไว้บนไม้กางเขนหนือแท่นบูชา เข้าสู่ “ประตูปราสาท” ที่มีหน้ากากเล็กๆ ติดอยู่เหนือประตู ชาวเมืองเชื่อว่าหน้ากากนี้จะป้องกันความชั่วร้ายเข้ามาสู่เมืองได้ จากบริเวณนี้เราจะเห็นเมืองโรเธนเบิร์กที่ตั้งอยู่บนหุบเขาโดยมีแม่น้ำเทาเบอร์ไหลคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่างอย่างชัดเจน เมื่อเราเดินกลับเข้าสู่บริเวณจตุรัสกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการเมืองที่สร้างเป็นแบบเรเนสซองส์และแบบบาโรกที่สวยงามโดยมีบ่อน้ำพุเซนต์จอร์จบ่อน้ำที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตั้งอยู่ด้านข้างแล้วก็ขอแวะพักเหนื่อยที่ร้านเบเกอร์รี่ลองชิมขนม “สเนโบลัล” หรือ “ลูกบอลหิมะ” กันสักหน่อย มีให้เลือกหลายแบบ อร่อยดีครับ…คืนนี้เราพักกันในเมืองโรเธนเบิร์กกัน 1 คืน ขอบอกเลยครับว่าบรรยากาศเมืองยามค่ำคืนสวยและคลาสสิกมาก แต่อย่านอนดึกนะครับเพราะพรุ่งนี้เราจะต้องไปเที่ยวกันต่อที่เมือง “อูล์ม” #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน



Grand Germany 11 วัน #8 ?? วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวเมืองเก่ามาชมธรรมชาติกันบ้าง จุดหมายของเราคือยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน ‘ซุกสปิทเซ่’ (Zugspitze) ที่มีความสูงถึง 2,962 เมตร เรานั่งรถไฟสายภูเขา ‘Cogwheel train’ จากเมืองการ์มิซ-พาเท่น เคียร์เค่น ขึ้นสู่ด้านบนกันครับ ตลอดเวลา 45 นาทีของการเดินทาง ขบวนรถไฟจะนำเราไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านและป่าสนที่เรียงรายสองข้างทางโดยมีทะเลสาบไอบ์ (Eibsee) ทะเลสาบสีเขียวมรกตตัดกับท้องฟ้าสีครามที่ซ่อนตัวอยู่ในวงล้อมของเทือกเขาแอลป์อย่างน่าอัศจรรย์ รถไฟวิ่งมาถึงสถานี Zugspitzplatt ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของยอดเขาซุกสปิทเซ่ เราเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศที่สวยงามก่อนที่จะนั่งกระเช้า Gletscherbahn ต่ออีกครู่เดียวก็จุดหมายของเราแล้ว‘ยอดเขาซุกสปิทเซ่’ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเวทเตอร์สไตน์ในแนวเทือกเขาแอลป์ ที่มีกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งถึง 3 แห่งแทรกตัวอยู่ในแนวเขา วิวบนนี้สวยงามมาก วิวแบบพานอรามาทำให้เรามองเห็นภูมิประเทศของออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และเยอรมันแห่งนี้ บนนี้ยังเคยเป็นที่ตั้งจุดตรวจชายแดนที่สูงที่สุดแต่เนื่องจากเยอรมันและออสเตรียเข้ามาอยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรปแล้วจุดตรวจนี้จึงยกเลิกไปในที่สุด สัมผัสกับความหนาวเย็นและความงามกันอย่างเต็มที่แล้ว…เราต้องเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อเดินทางกันต่อ คืนนี้เราจะไปพักกันที่เมืองนูแรมเบิร์กกันครับ #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน




Grand Germany 11 วัน #12 ?? เราเดินออกจากพระราชวังสวิงเงอร์ผ่านเข้าสู่ป้อมประตูเมืองเก่า ‘Georgentor’ ซึ่งเป็นอาคารเรอเนสซองส์แห่งแรกของเมืองเพื่อเข้าไปชม ‘Stallhof’ สนามแข่งขันขี่ม้าของอัศวินในยุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 สมัยของเจ้าชายอิเลคเตอร์ “คริสเตียนที่ 1” แห่งแซกโซนี หากเวลานี้เราย้อนกลับไปในอดีตได้คงเห็นภาพของชาวเมืองที่ส่งเสียงเชียร์อัศวินในชุดเกราะสองคนที่กำลังขี่ม้าแข่งกันเพื่อมาแทงเจาะห่วงทองเหลืองที่แขวนไว้ที่เสาเหล็กทั้ง 2 ต้นตรงกลางสนามแห่งนี้…ผนังกำแพงด้านนอกของโรงม้าคือ “The Fürstenzug” เป็นกำแพงที่มีภาพจิตกรรมบนกระเบื้องเคลือบที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 101 เมตร ภาพที่เราเห็นบนกำแพงคือขบวนเสด็จของผู้ครองแคว้นแซกโซนีและขุนนางผู้สืบเชื้อสายของตระกูล จนถึงพระเจ้าเฟรเดอริค ออกุสตุสที่ 3 กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งแซกโซนี…เดินผ่านกำแพงเข้าไปที่จตุรัส “Neumarkt” จะเห็นโบสถ์เฟราเอนเคียเค่อ “Frauenkirche” โบสถ์โปแตสแตนท์ในสถาปัตยกรรมแบบบารอก ที่มีความโดดเด่นด้วยโดมที่สูงถึง 96 เมตร โบสถ์แห่งนี้เคยถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพังจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยในปี 1945 และตรงกลางจตุรัสมีรูปปั้นของ มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้ซึ่งหาญกล้าท้าทายอำนาจของพระสันตะปาปาเลโอที่ 10 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกจนเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงคราม 30 ปี” ในเวลาต่อมา #Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

Grand Germany 11 วัน #13 ?? จากจตุรัส “Neumarkt” เราเดินผ่านโบสถ์เฟราเอนเคียเค่อ ขึ้นบันไดสู่ Brühl’s Terrace ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ระเบียงแห่งยุโรป” ระเบียงทางเดินที่ทอดยาวเหนือชายฝั่งของแม่น้ำเอลเบ กลุ่มอาคารแบบเรอเนสซองส์และนีโอบารอกที่ตั้งอยู่ข้างแนวระเบียงคือ ‘สถาบันศิลปะ’ ด้านบนคือโดมแก้วที่มี “ฟามา” เทพีแห่งชื่อเสียงและข่าวลือของโรมันสีทองอร่ามประดับอยู่บนยอดโดม เชิงบันไดทางลงจากระเบียงมีปฎิมากรรม Four Seasons ซึ่งเป็นผลงานของ “โยฮันเนส ชิลลิ่ง” ปฎิมากรชาวเยอรมันซึ่งเป็นผลผลิตจากสถาบันศิลปะของเมืองเดรสเดนที่สร้างผลงานทั้งหมด 265 ชิ้น ซึ่งชิ้นที่สำคัญนั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองเดรสนี่เอง รูปของโยฮันเนส ชิลลิ่ง ยังไปปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมกระเบื้องเคลือบบนกำแพง “The Fürstenzug” ที่เราได้ไปชมมาก่อนหน้านี้…จากความรุ่งเรืองในอดีตในยุคของ พระเจ้าออกุสตุสที่ 2 แห่งโปแลนด์ที่ต่อมากลายเป็น กษัตริย์เฟรดเดอริก ออกุสตุสที่ 1 แห่งแซกโซนี ผ่านความตกตกต่ำในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันเดรสเดนกลับมาทวงคืนความรุ่งโรจน์ในอดีตจนทำให้เมืองหลวงของแคว้นแซกโซนีแห่งนี้เป็นเสมือน “อัญมณีอันมีค่าของเยอรมัน”#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน


Grand Germany 11 วัน #15 ?? สถานที่แรกของกรุงเบอร์ลินที่เราจะไปเยือนกันคือ ประตูบรันเดนบวร์กซุ้มประตูขนาดใหญ่แบบนีโอคลาสสิกจากหินทรายที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ในสมัยพระเจ้าเฟรเดอริค วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย โดยจำลองแบบมาจากอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ มีปฏิมากรรมเทพีแห่งชัยบนรถม้าศึกประดับบนยอดประตู จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศสเคยนำปฏิมากรรมชิ้นนี้กลับไปที่กรุงปารีสเพื่อฉลองชัยชนะเหนือปรัสเซียเมื่อปี 1806 ใกล้ๆ กับประตูบรันเดนบวร์ก คืออาคารรัฐสภาสไตล์นีโอเรเนสซองมีโดมแก้วอยู่ด้านบนถูกสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ที่ใช้เป็นรัฐสภาของเยอรมันตั้งแต่ปี 1999 จากอาคารรัฐสภาเรานั่งรถผ่าน “เสาแห่งชัยชนะ” อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการฉลองในชัยชนะของปรัสเซียที่มีเหนือสงครามกับเดนมาร์ก ออสเตรีย และฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เข้าสู่ “พระราชวังชาร์ล็อทเทินบวร์ก” พระราชวังสไตล์บารอกและรอกโคโคที่งดงามและใหญ่โตที่สุดในกรุงเบอร์ลิน สถานที่ต่อมาคือ “มหาวิหารเบอร์ลิน” วิหารโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของเมือง สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างบาร็อคเเละเรอเนสซองส์ที่มียอดโดมสีฟ้า 3 โดมอยู่ด้านบน ตัววิหารตั้งอยู่โดดเด่นบนเกาะพิพิธภัณฑ์ จากนั้นร่วมกันระลึกถึงการสิ้นสุดสงครามเย็น และการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินกันที่ East side Gallery ซึ่งแนวกำแพงเบอร์ลินที่ยังหลงเหลืออยู่ได้กลายสภาพเป็นงานศิลปะไปแล้ว และจากจุดนี้เราสามารถเห็นสะพาน Oberbaumbrücke ที่สร้างขึ้นในสไตล์กอธิคทอดตัวข้ามแม่น้ำชเปร และอีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ “จุดตรวจพรมแดนประวัติศาสตร์” Checkpoint Charlie ของเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตกบริเวณที่เกิดเหตุการณ์การเผชิญหน้ากันของทหารอเมริกากับทหารโซเวียตในปี ค.ศ.1961#Covid19จบเราจะไปเที่ยวกัน

