เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

วันเสาร์

09.00-13.00 น.

เราช่วยคุณได้

@oneworldtour

Travel License : 11/05298

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

ตำนานป้อมปราการ The Great Fortresses around the World

ตำนานป้อมปราการ The Great Fortresses around the World

03

Nov

สเปน

ตำนานป้อมปราการ The Great Fortresses around the World

ตำนานป้อมปราการ ตำนานความแข็ง ที่เป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่น
ตำนานป้อมปราการ มนุษยชาติได้เรียนรู้มาตั้งแต่เนิ่นๆในประวัติศาสตร์ของเราว่า ‘เพื่อปกป้องผืนดินต้องเสริมสร้าง’ จากจุดเริ่มต้นนี้ได้พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของโลกอยู่ตลอดเวลา … จากป้อมปราการที่เป็นกำแพงดินและกำแพงไม้ที่เรียบง่าย พัฒนาไปสู่ โครงสร้างที่ซับซ้อนและสง่างามในยุคกลาง ดินปืนและปืนใหญ่ทำให้โครงสร้างอันล้าสมัยถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกำแพงดินในแนวราบ เช่น ป้อมดาวซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป… แม้ยุคกลางจะถูกเรียกว่ายุคมืด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมถอย โดยรวมหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันโบราณ ป้อมปราการที่สวยงามยังคงมีชีวิตอยู่ตลอดหลายศตวรรษ  จากตำนานและจินตนาการที่เต็มไปด้วยป้อมปราการและปราสาทโบราณ เสมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก โครงสร้างที่สูงตระหง่านและสวนที่อุดมสมบูรณ์ ป้อมปราการของกษัตริย์และเหล่าอัศวิน ทำให้เราได้กลับมาเยี่ยมชมโลกของนิทานก่อนนอนในวัยเด็กของเราอีกครั้ง… ตั้งแต่ป้อมปราการบนเทือกเขาหิมะไปจนถึงปราสาทยุคกลางที่เหมือนเทพนิยายในยุโรปตะวันออก จากป้อมปราการที่แข็งแกร่งของชาวตะวันตกไปจนถึงป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันออกที่สะท้อนความงามของธรรมชาติอันน่าหลงใหลเหล่านี้ และจากนี้ไปเราจะได้พบกับป้อมปราการโบราณที่ได้ผ่านการทดสอบของกาลเวลานับร้อยนับพันปีเพื่อรอให้เรามาเยี่ยมชมเพื่อเติมเต็มเรื่องราวจากหนังสือนิทานแห่งโลกจินตนาการที่จะทำให้เราหลงเชื่ออย่างเต็มหัวใจ… 

The Great Fortresses around the World #31  Bamburgh Castle ปราสาทริมชายฝั่งที่ดีที่สุดของอังกฤษ – ‘ปราสาทแบมเบิร์ก’ เป็นปราสาทในตำนานของ ‘Joyous Gard’ ซึ่งเป็นปราสาทของ ‘เซอร์ ลานเซล็อต’ Sir Lancelot หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมในตำนานของ King Arthur  ‘ปราสาทแบมเบิร์ก’ ตั้งอยู่บนฐานหินภูเขาไฟที่แข็งแกร่งที่สามารถมองเห็นหาดทรายที่กว้างใหญ่และทะเลเหนือ และหมู่เกาะฟาร์น Farne Island ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเบอร์นิเซียแองโกล – แซกซอน แต่ถูกทำลายโดยชาวไวกิ้งในปี ค.ศ. 993 ต่อมาชาวนอร์มันได้สร้างปราสาทซึ่งพัฒนามาเป็นป้อมปราการชายแดนที่น่าเกรงขาม ปราสาทถูกสร้างขึ้นใหม่เกือบทั้งหมดในศตวรรษที่ 19   ในปี 1086 โรเบิร์ต เดอ โมว์เบรย์ เอิร์ลแห่งนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ ใช้ปราสาทเป็นฐานทัพเพื่อรักษาความปลอดภัยของดินแดนทางเหนือจากการรุกรานของสก็อตแลนด์ และยังเป็นผู้นำทัพออกจากปราสาทเพื่อต่อสู้กับกองทัพสก็อตในการรบครั้งแรกที่เมืองแอนิก Alnwick ในปี 1093 ซึ่งเขาได้โจมตีและสังหารพระเจ้ามัลคอล์ม ที่ 3 แห่งสก็อตแลนด์ได้สำเร็จ  อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ.1095 โรเบิร์ตได้ก่อกบฏต่อพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 แห่งอังกฤษ โรเบิร์ตซึ่งอยู่ที่ปราสาท ‘ไทน์เมาธ์’ Tynemouth Castle และถูกจับได้เมื่อเขาพยายามหลบหนีไปยังนิวคาสเซิล และถูกนำตัวไปคุมขังในปราสาทแบมเบิร์ก และใช้เวลาอีกสามสิบปีในฐานะนักโทษที่ปราสาทวินด์เซอร์  ในปี 1464 ระหว่าง ‘สงครามดอกกุหลาบ’ ปราสาทแบมเบิร์กเป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์แลงคัสเตอร์ และถูกโจมตีอย่างรุนแรง กลายเป็นปราสาทแห่งแรกในอังกฤษที่พ่ายแพ้ด้วยปืนใหญ่เมื่อสิ้นสุดการปิดล้อมเก้าเดือนโดย ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลที่ 16 แห่งวอริก  ในช่วงต้นทศวรรษ 1600 ปราสาทได้รับความเสียหายอย่างมาก และต่อมาตกอยู่ในการครอบครองของตระกูลฟอร์สเตอร์ในท้องถิ่น และได้กลายเป็นโรงพยาบาล และโรงเรียนก่อนจะถูกซื้อโดย ลอร์ด อาร์มสตรอง นักอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยในท้องถิ่น และได้เริ่มงานบูรณะปราสาทหลังนี้อีกครั้ง   

The Great Fortresses around the World #32  The Citadel of Aleppo, ซีเรีย ‘หนึ่งในปราสาทที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก’ – ‘อเลปโป’ หนึ่งในเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อเลปโปรักษาประวัติศาสตร์ตะวันออกใกล้ที่ยังหลงเหลืออยู่กว่า 4,000 ปี  ‘ป้อมปราการอเลปโป’ เป็นพิภพเล็กๆ ที่ซ้อนกันอย่างหนาแน่นของประวัติศาสตร์อันยาวนาน โครงสร้างอันซับซ้อนส่วนใหญ่ของป้อมปราการถูกสร้างขึ้นโดย ‘ราชวงศ์อัยยูบิด’ ในศตวรรษที่ 12 และ 13 ป้อมปราการสร้างขึ้นจากหินปูนธรรมชาติที่โผล่ขึ้นมาสูงกว่าระดับของที่ราบโดยรอบประมาณ 30 เมตร กำแพงสูง สะพานทางเข้าอันโอ่อ่า และประตูใหญ่ยังคงสภาพสมบูรณ์และตั้งตระหง่านอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าของเมือง  ปี 1260 ป้อมปราการถูกโจมตีจากกองทัพมองโกลโดยการนำทัพของ ‘ข่าน ฮูลากู’ Hulagu Khan และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 13 ความเสียหายเหล่านี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยสุลต่าน อัล-แอชราฟ คาลิล แห่งราชวงศ์มัมลุค  ปี 1400 เมืองและป้อมปราการถูกมองโกลยึดครองอีกครั้งภายใต้การนำของ ตีมูร์ (Timur-เป็นขุนศึกที่มีเชื้อสายผสมระหว่างมองโกลและเติร์ก และเป็นผู้พิชิตดินแดนส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันตกและเอเชียกลาง) อาคารเกือบทั้งหมดภายในป้อมปราการถูกทำลาย ในปี 1415 ป้อมปราการอเลปโปได้รับการบูรณะอีกครั้ง  ในช่วงสมัยออตโตมันบทบาททางทหารของป้อมปราการลดลงอย่างช้าๆ ในปี 1521 ป้อมปราการได้รับการบูรณะโดยสุลต่านสุไลมานที่ 1 และป้อมอเลปโปถูกใช้เป็นค่ายทหารสำหรับทหารออตโตมัน ในปี 1822 ป้อมปราการได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหวอีกครั้ง ปี 1850 ป้อมปราการได้รับการบูรณะโดย สุลต่านอัลดุล เมจิดที่ 1 เป็นสุลต่านของจักรวรรดิออตโตมัน   ในช่วงที่อยู่ภายใต้อาณัติของฝรั่งเศสในช่วงแรกของการขุดค้นทางโบราณคดีในศตวรรษที่ 20  มีการขุดพบ…‘วิหารเทพเจ้าแห่งพายุ’ ‘Temple of the Storm God’ เทพโบราณที่ปรากฏตัวในพายุฝนฟ้าคะนองและมีความสำคัญต่อการเกษตร และปรากฏอยู่บนหินแกะสลักที่มีการขุดพบภายในในป้อมปราการแห่งอเลปโป
หินแกะสลักเทพเจ้าแห่งพายุเป็นแสดงถึงการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันมากที่สุดของอเลปโป ทำให้นักโบราณคดีสามารถสำรวจชั้นของเมืองที่ไม่เหมือนใครก่อนหน้านี้ซึ่งตามมาด้วยการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องในยุคเฮลเลนิสติก, โรมัน, ไบแซนไทน์, ราชวงศ์แซนกิด (Zangid), ราชวงศ์อัยยูบิด (Ayyubid) ราชวงศ์มัมลุค (Mamluks) และออตโตมัน  

The Great Fortresses around the World #33 Tower of London, อังกฤษ – ‘หอคอยแห่งลอนดอน’ ป้อมปราการอายุกว่า 900 ปีใจกลางกรุงลอนดอน หอคอยแห่งลอนดอนเป็นทั้งพระราชวัง ป้อมปราการ และยังเป็นเรือนจำที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ต้นกำเนิดของหอคอยเริ่มต้นด้วยการรุกรานอังกฤษของนอร์มัน วิลเลียมดยุคแห่งนอร์มังดีได้พบกับกษัตริย์แฮโรลด์ที่สมรภูมิเฮสติงส์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1066 นักรบนอร์แมนได้รับชนะ และวิลเลียมได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์   พระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ (William the Conqueror) สร้างหอคอยสีขาวในปี 1066 เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจของชาวนอร์มันโดยตั้งอยู่บนแม่น้ำเทมส์ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งป้อมปราการและประตูสู่เมืองหลวง ถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ที่สุดของพระราชวังและป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 11 ที่ยังหลงเหลืออยู่ในยุโรป หน้าที่ฐานที่มั่นทางทหารของหอคอยนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19  ตลอดประวัติศาสตร์หอคอยแห่งนี้มีวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น เป็นที่ตั้งของโรงกษาปณ์ โรงละครสัตว์  คลังอาวุธ และค่ายทหาร ตลอดจนเป็นที่ประทับของราชวงศ์จนถึงศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษามงกุฏเพชรและเครื่องราชาภิเษกของสหราชอาณาจักร  ปี 1240 พระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษได้ปรับปรุงหอคอยขึ้นใหม่อีกครั้งเพื่อใช้เป็นพระราชวัง และเพื่อรับรองแขกคนสำคัญ ในขณะเดียวกันหอคอยแห่งนี้ถูกใช้เพื่อคุมขังนักโทษหลายกลุ่มตั้งแต่กษัตริย์ พระราชินีไปจนถึงอาชญากรทั่วไป เช่น เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายริชาร์ด ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ซึ่งดูเหมือนทั้งสองพระองค์จะไม่เคยออกจากหอคอยขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เลย3เลดี้ เจนเกรย์ Lady Jane Grey (ราชินีผู้ไร้มงกุฏ) เหลนของพระเจ้าเฮนรี ที่ 7 ซึ่งเป็นราชินีได้เพียง 9 วัน ก่อนที่เธอจะถูกปลดโดย สมเด็จพระราชินีแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ  รวมถึง ‘แอนน์ โบลีน’ Anne Boleyn และ ‘แคเทอริน เฮาเวิร์ด’ Katherine Howard พระมเหสีพระองค์ที่ 2 และองค์ที่ 5 ในพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ทั้งคู่ถูกจำคุกและถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา  แม้หอคอยแห่งลอนดอนจะมีชื่อเสียงที่น่ากลัวในฐานะ ‘สถานที่แห่งการทรมาน และความตาย’ แต่ภายในกำแพงเหล่านี้ยังมีประวัติศาสตร์ของพระราชวัง คลังอาวุธ และป้อมปราการที่แข็งแกร่งและทรงพลัง และตัวอย่างของสถาปัตยกรรมทางทหารของชาวนอร์มันซึ่งมีอิทธิพลไปทั่วราชอาณาจักร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1988 

จำนวนผู้เข้าชม 6 ครั้ง