
03
Nov
สเปน
ตำนานป้อมปราการ The Great Fortresses around the World
ตำนานป้อมปราการ ตำนานความแข็ง ที่เป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่น
ตำนานป้อมปราการ มนุษยชาติได้เรียนรู้มาตั้งแต่เนิ่นๆในประวัติศาสตร์ของเราว่า ‘เพื่อปกป้องผืนดินต้องเสริมสร้าง’ จากจุดเริ่มต้นนี้ได้พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของโลกอยู่ตลอดเวลา … จากป้อมปราการที่เป็นกำแพงดินและกำแพงไม้ที่เรียบง่าย พัฒนาไปสู่ โครงสร้างที่ซับซ้อนและสง่างามในยุคกลาง ดินปืนและปืนใหญ่ทำให้โครงสร้างอันล้าสมัยถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกำแพงดินในแนวราบ เช่น ป้อมดาวซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป… แม้ยุคกลางจะถูกเรียกว่ายุคมืด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมถอย โดยรวมหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันโบราณ ป้อมปราการที่สวยงามยังคงมีชีวิตอยู่ตลอดหลายศตวรรษ จากตำนานและจินตนาการที่เต็มไปด้วยป้อมปราการและปราสาทโบราณ เสมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก โครงสร้างที่สูงตระหง่านและสวนที่อุดมสมบูรณ์ ป้อมปราการของกษัตริย์และเหล่าอัศวิน ทำให้เราได้กลับมาเยี่ยมชมโลกของนิทานก่อนนอนในวัยเด็กของเราอีกครั้ง… ตั้งแต่ป้อมปราการบนเทือกเขาหิมะไปจนถึงปราสาทยุคกลางที่เหมือนเทพนิยายในยุโรปตะวันออก จากป้อมปราการที่แข็งแกร่งของชาวตะวันตกไปจนถึงป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันออกที่สะท้อนความงามของธรรมชาติอันน่าหลงใหลเหล่านี้ และจากนี้ไปเราจะได้พบกับป้อมปราการโบราณที่ได้ผ่านการทดสอบของกาลเวลานับร้อยนับพันปีเพื่อรอให้เรามาเยี่ยมชมเพื่อเติมเต็มเรื่องราวจากหนังสือนิทานแห่งโลกจินตนาการที่จะทำให้เราหลงเชื่ออย่างเต็มหัวใจ…
The Great Fortresses around the World #16 Himeji Castle – ‘ปราสาทฮิเมจิ’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ปราสาทนกกระสาขาว’ (Shirasagijo) เนื่องจากมีรูปลักษณ์สีขาวที่สง่างามจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น จากมีขนาดและความงามที่โอ่อ่าและบริเวณปราสาทที่ซับซ้อนได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ปราสาทฮิเมจิปราสาทเป็นทั้งสมบัติของชาติและมรดกโลก ซึ่งแตกต่างจากปราสาทอื่นๆ ของญี่ปุ่นไม่เคยถูกทำลายจากสงคราม แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้มาก่อน ปราสาทฮิเมจิเป็นหนึ่งในปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นเพียงสิบสองแห่งที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ปราสาทฮิเมจิตั้งอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์ตามแนวทางตะวันตกของเมืองเกียวโตในอดีต ป้อมปราการแห่งแรกที่สร้างในช่วงทศวรรษที่ 1400 และค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตลอดหลายศตวรรษโดยกลุ่มชนต่างๆ ที่ปกครองพื้นที่ ปราสาทที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 400 ปีและสร้างเสร็จในปี 1609 ประกอบด้วยอาคารกว่าแปดสิบหลังซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยประตูและเส้นทางที่คดเคี้ยว
มีป้อมปราการในพื้นที่ที่มีอยู่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เมื่อซาดาโนริ อะคามัตซึ ผู้ปกครองจังหวัดฮาริมะ แต่ปราสาทฮิเมจิในปัจจุบันเริ่มต้นขึ้นโดยขุนศึกฮิเดโยชิ โตโยโตมิ ในปี 1581 ต่อมาปราสาทฮิเมจิได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นในปี 1608 เป็นและได้รับการออกแบบใหม่โดยเทรุมาซะ อิเคดะ (นายพลคนหนึ่งของฮิเดโยชิซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนข้างและสนับสนุนอิเอยาสึโทคุงาวะในการต่อสู้แตกหักที่เซกิงาฮาระ) ปราสาทได้รับการขยายเพิ่มเติมในอีกไม่กี่ปีต่อมาเพื่อให้มีขนาดใหญ่โตน่าประทับใจในปัจจุบัน อาคารปราสาทแปดสิบสองหลังยังคงอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิรวมถึงหอคอยสูง 46 เมตรที่สูงสง่า
ปราสาทฮิเมจิมีโครงไม้ของปราสาททำจากเสาขนาดใหญ่รวมทั้งคานไม้สนไซเปรสอายุเกือบ 800 ปี ทิวทัศน์อันงดงามจากชั้นบนสุดของปราสาทเหนือเมืองฮิเมจิ ไกลออกไปคือหมู่เกาะเอจิมะที่ตั้งอยู่กลางทะเล ปราสาทแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างยิ่งในฤดูดอกซากุระเมื่อต้นซากุระหลายร้อยต้นในบริเวณปราสาทบานสะพรั่งเป็นสีชมพู สวนของบริเวณปราสาทที่กว้างขวางยังมีต้นพลัม พีช อาซาเลีย และวิสทีเรีย ชูช่อบ้านสะพรั่งอย่างสวยงาม

The Great Fortresses around the World #17 The Fortress of Orsini – เมืองโซราโน่ที่งดงามอาจมีรากเหง้าของชาวอีทรัสคัน แต่โดดเด่นด้วยใจกลางเมืองประวัติศาสตร์ในยุคกลางที่มีป้อมปราการและปราสาทออร์ซินีอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของสถาปัตยกรรมทางทหารในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
‘ป้อมปราการออร์ซินี’ เป็นอาคารทางทหารที่สง่างาม หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับป้อมออร์ซินีมีอายุย้อนไปถึง 1300 ในขณะนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูล ตระกูลอัลโดบรันเดสชิจนถึงปลายศตวรรษที่ 14 และขยายใหญ่ขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยตระกูลออร์ซินี ป้อมปราการออร์ซินีเป็นหนึ่งในตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ยุคกลางที่สง่างามที่สุดของแคว้นทัสคานี ป้อมปราการแห่งนี้ได้ปกป้องพรมแดนของทัสคานีตอนใต้เป็นเวลาช้านาน มีความแข็งแรงอยู่เสมอเนื่องจากตำแหน่งของป้อมเสริมด้วยกำแพงโบราณและมีทางเข้าที่เปิดเพียงด้านเดียว ภายในมีสิ่งก่อสร้างสำคัญคือ ปราสาท, ป้อมปราการ, กำแพง เชิงเทิน และพรราชวัง Palazzo Ricci Buscatti ซึ่งก่อสร้างเพิ่มเข้ามาในศตวรรษที่ 19
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาป้อมปราการแห่งนี้มีแขกผู้มีชื่อเสียงมากมายเช่นสมเด็จพระสันตปาปาซิสตุสที่ 6 ในปี 1478 หรือในปี 1494 กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 8 ของฝรั่งเศส

The Great Fortresses around the World #18 Mukachevo Castle – “ปราสาทมูคาเชโว” เป็นอนุสรณ์สถานทางทหารที่ทรงคุณค่าของยูเครน ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นที่ทางแยกของเส้นทางการค้าและการทหารในสมัยโบราณเพื่อปกป้องและควบคุมเส้นทางการค้าจากดินแดนของจักรวรรดิเคียฟรุสและจากเหมืองเกลือของ Semigradiye ไปยังสาธารณรัฐเช็กโมราเวีย และโปแลนด์
นักโบราณคดีคิดว่าผู้คนอาศัยอยู่บนเนินเขาที่มีความสูง 68 เมตร นี้มามาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากชุมชนเล็กๆ จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยปราสาทไม้ต่างๆ ของเผ่าสลาฟ
การปรับปรุงและการสร้างปราสาทใหม่มีขึ้นตั้งแต่สมัยของเจ้าชายเฟดอร์ โคเรียโทวิช (Fyodor Koryatovich) เจ้าชายชาวลิทัวเนียแห่งราชวงศ์ Gediminid ในช่วงหลายปีของการครองราชย์ในมูคาเชโว (1396-1414) พระองค์เปลี่ยนปราสาทเล็กๆ ให้กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ปราสาทประกอบด้วยลานหลักซึ่งมีหอคอยรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่พักและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ และกำแพงหินที่มีหอคอยทรงกลมสี่หลัง (ปัจจุบันเหลือเพียงสามหลัง)
ปีแล้วปีเล่าศตวรรษที่แล้วอาคารต่างๆ ได้รับการก่อสร้างและปรับปรุงโดยแยกแนวป้องกัน 4 แนวออกจากกันในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เป็นเวลาหลายศตวรรษที่กำแพงของปราสาทอยู่ภายใต้การปิดล้อมของผู้รุกรานจำนวนมาก และป้อมปราการรอดจากการถูกล้อมหลายครั้ง หนึ่งในนั้นและน่าจดจำที่สุดกินเวลาเกือบสองปีครึ่ง – ตั้งแต่ฤดูร้อนปี 1685 จนถึงฤดูหนาวปี 1688
ในวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1711 หลังจากการพ่ายแพ้ของ Ferenc II Rakoczi ปราสาทก็ถูกส่งต่อไปยังคลังสมบัติของจักรพรรดิออสเตรียอีกครั้ง ในศตวรรษที่ 18 ปราสาทได้สูญเสียความสำคัญทางทหารและในปี 1789 ได้เปลี่ยนเป็นเรือนจำสำหรับนักโทษการเมือง
ในวันที่ 2 พฤษภาคม 1848 ผู้ก่อความไม่สงบได้ยึดปราสาทและปลดปล่อยนักโทษ ในปี 1897 เรือนจำได้ถูกยกเลิก ปราสาทถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน ในปี 1922-1926 ป้อมปราการได้รับการปรับปรุงใหม่บางส่วนและใช้เป็นค่ายทหาร
ในสมัยโซเวียตปราสาท Mukachevo กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักในภูมิภาค Zakarpattia ของยูเครน

The Great Fortresses around the World #19 Conwy Castle – “ป้อมปราการยุคกลางอันงดงามยังคงตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี” คอนวีเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเก็บรักษาไว้ภายในกำแพงเมือง ใจกลางของที่นี่คือปราสาทสมัยศตวรรษที่ 13 อันยิ่งใหญ่ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบเมืองในยุคกลางที่โดดเด่นแห่งนี้
‘ปราสาทคอนวี’ สร้างเสร็จเมื่อกว่า 700 ปีก่อนเพื่อปราบปรามชาวเวลส์ ตั้งอยู่ในนอร์ทเวลส์ หลังสงครามประกาศอิสรภาพของเวลส์ครั้งที่ 2 ระหว่างปีค.ศ.1282-1283 สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้และการถูกยึดครองพื้นที่ทางตอนเหนือโดยอังกฤษ โดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (ค.ศ. 1272-1307) สั่งให้สร้างป้อมปราการและเมืองใหม่ ตั้งแต่ ค.ศ.1283-1292 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของอังกฤษ โดยปรมาจารย์แห่งการสร้างปราสาท James of St George ซึ่งเป็นหัวหน้าสถาปนิก
นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งเขียนถึงปราสาทคอนวี ว่า “โดยรวมแล้วคอนวี เป็นป้อมปราการของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ที่งดงามที่สุดอย่างหาที่เปรียบมิได้” เมื่อเปรียบเทียบกับปราสาทสมัยเอ็ดเวิร์ดที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ การออกแบบที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและแข็งแกร่ง
นอกเหนือจากปราสาท Harlech ปราสาท Caernarfon และปราสาท Beaumaris ปราสาทคอนวีนับว่าเป็นหนึ่งในป้อมปราการยุคกลางที่ดีที่สุดในสหราชอาณาจักร และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1986

The Great Fortresses around the World #20 Burg Hochosterwitz – “ปราสาทโฮโคสแทร์วิทซ์” ปราสาทยุคกลางที่สง่างามที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรีย และเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของป้อมปราการและฐานที่มั่น สิ่งที่ทำให้ปราสาทดูแข็งแกร่งมากคือตำแหน่งที่ตั้งที่โดดเด่นอยู่บนหน้าผาหินปูนสูง 170 เมตร
สร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.860 ถนนทางเข้าปราสาทยาว 620 เมตรถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันเพื่อให้ยากที่สุดสำหรับผู้โจมตี ถนนคดเคี้ยวไปตามหน้าผาหินปูนสูงชันและผ่านประตูป้อม 14 แห่งที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1570 ถึง 1582 แต่ละประตูใดมีด้วยกลไกการป้องกันประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกัน และ “ประตูแต่ละบานมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” นอกจากนี้เชิงเทินที่แยกออกมายังให้ทัศนียภาพที่งดงามเหนือภูมิทัศน์ของภูมิภาคคารินเที
แม้ว่าป้อมปราการจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการโจมตีของพวกออตโตมัน แต่ก็มีการกล่าวกันว่าไม่มีผู้โจมตีคนใดมาไกลเกินกว่าประตูที่ 4 เลย ตัวปราสาทตั้งอยู่บนที่ราบบนภูเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงและป้อมปราการรอบด้าน เป็นที่น่าทึ่งว่าการก่อสร้างป้อมปราการที่แยบยลนี้เป็นเหตุผลที่ปราสาทไม่เคยถูกพิชิตมาหลายศตวรรษ ปราสาทแห่งนี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเท่านั้น แต่ยังเป็นที่หลบภัยของชาวบ้านอีกด้วย การก่อสร้างและสถานที่ที่แยบยลทำให้ศัตรูแทบจะไม่สามารถเข้าถึงด้านในได้เลย ผู้ที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการสามารถดำรงชีพได้อย่างยาวนาน เพราะพวกเขามีโรงงานช่างไม้ โรงสีข้าว โรงตีเหล็ก โรงเบเกอรี่ และโรงผลิตไวน์ของตัวเอง
ปราสาทโฮโคสแทร์วิทซ์เป็นถูกครอบครองโดยตระกูลขุนนาง Khevenhüller ตั้งแต่ปี 1571 ที่มีส่วนร่วมในสงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618-1648) วันนี้ครอบครัวยังคงเป็นเจ้าของเช่นเดิม ไม่มีการสร้างปราสาทขึ้นมาใหม่หลังศตวรรษที่ 17 และปราสาททั้งหลังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ลานภายในของปราสาทยังมีร้านอาหารพร้อมพื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งขนาดใหญ่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จัดแสดงอาวุธ ชุดเกราะอัศวิน และสมบัติของตระกูล Khevenhüller จากการครอบครองยาวนานกว่า 500 ร้อยปี

The Great Fortresses around the World #21 Bodiam Castle – ปราสาทโบราณที่ยังคงมีตั้งตระหง่านอยู่ในสภาพเหมือนซากปรักหักพังภายในหุบเขาโรเธอร์ Rother Valley ในซัสเซ็กซ์ประเทศอังกฤษ และนี่คือ “ปราสาทโบเดียม” ปราสาทที่งดงามในยุคกลางที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ใช้เวลาหลายศตวรรษในฐานะหนึ่งในปราสาทที่อันเป็นที่รักและรู้จักกันดีที่สุดในอังกฤษ ปราสาทโบเดียมสร้างขึ้นระหว่างประมาณปี 1380-1385 เพื่อปกป้องพื้นที่อันสวยงามของซัสเซ็กส์ตะวันออกจากการรุกรานของฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปี โดยเซอร์เอ็ดเวิร์ด ดัลลิงริดจ์ อัศวินแห่งไชร์แห่งซัสเซ็กซ์ ในสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 และพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ เซอร์เอ็ดเวิร์ดและภรรยาอาศัยอยู่ในปราสาทในยุคที่ทั่วยุโรปกำลังถูกคุกคามจากการระบาดของกาฬโรค (Black Death) ในปี 1348 ปราสาทผ่านการประท้วงจากชนชั้นแรงงานในช่วงกบฏชาวนาในปี ค.ศ.1381 รวมถึงข้อพิพาทของราชวงศ์ที่นำไปสู่สงครามดอกกุหลาบในระหว่างปี 1455-1485
เนื่องจากปราสาทโบเดียมถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องชายฝั่งทางใต้จากฝรั่งเศสจึงไม่แปลกใจเลยที่ปราสาทแห่งนี้จะได้รับการเสริมสร้างเพื่อให้เหมาะสำหรับการรบ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาที่ตั้งของปราสาทแล้วมันก็ดูแปลกที่มันถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องชายฝั่งที่อยู่ห่างออกไปมากทีเดียว การออกแบบของปราสาทเป็นสิ่งที่ยังคงดึงดูดผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมและมีช่องบนผนังด้านนอกเช่นเดียวกับหอคอยในแต่ละจุด และทางเข้าหอคอยเหล่านี้มีความสำคัญ เนื่องจากต้องระวังการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นซึ่งสามารถโต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างที่สำคัญหลายอย่างของสถาปัตยกรรมจากศตวรรษที่ 14 โดยมีทางเข้าประตูรั้วสองชั้นและหอคอยมากมายที่ตัดกับเส้นขอบฟ้าที่สวยงามสำหรับทุกคนที่มาเยี่ยมชม ปราสาทได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีก็ยังคงตระหง่านอยู่จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าการตกแต่งภายในจะมีสภาพทรุดโทรม แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความงดงามอันเป็นสัญลักษณ์อัศวินในยุคกลางที่น่าประทับใจนี้ได้เลย สมกับคำว่า ‘จิตวิญญาณแห่งโบเดียม’

The Great Fortresses around the World #22 Swallow’s Nest Castle (Crimea Castle) ยูเครน – ‘ปราสาทรังนก’ ได้ชื่อว่าเป็น ‘อัญมณีอันล้ำค่าของยูเครน’ นี่คือปราสาทเทพนิยายบนหน้าผาในแหลมไครเมีย
ปราสาทไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักและปกป้องผู้อยู่อาศัย ป้อมปืนและเชิงเทินเป็นเพียงสัญลักษณ์มากกว่าการใช้งานจริงใดๆ โดยมีบางส่วนของระเบียงยื่นจากหน้าผา ปราสาทรังนกรอดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ (6-7 ริกเตอร์) ที่ถล่มพื้นที่นี้ในปี 1927 แม้ว่าตัวอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่หินที่อยู่เบื้องหลังหน้าผานี้ได้เกิดรอยแตกแนวตั้งขนาดใหญ่อันเป็นผลมาจากแผ่นดินไหว และปราสาทได้ถูกปิดมานานกว่าสี่ทศวรรษ
ในปี 1968 การบูรณะอาคารเริ่มขึ้นโดยพยายามทำให้สามารถอยู่อาศัยได้ วิศวกรได้สอดแผ่นคอนกรีตขนาดใหญ่เข้าไปในหน้าผาเพื่อช่วยให้เสริมความแข็งแรงตรงรอยแตกที่เหลือจากแผ่นดินไหว ในปี 1975 ร้านอาหารอิตาเลียนได้เปิดให้บริการในปราสาทและดำเนินการมาจนปัจจุบีน เนื่องจากสถานที่ตั้งที่งดงามของปราสาททำให้ถูกใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ของโซเวียตหลายเรื่อง
ปราสาทรังนกเปรียบเสมือนเป็นอัญมณีนีโอโกธิคขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนหน้าผาบนชายฝั่งทะเลดำของยูเครนที่ทอดยาวราวกับริบบิ้นสีฟ้าครามที่งดงามตามคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถือเป็น “ริเวียร่าของรัสเซีย”

The Great Fortresses around the World #23 Krak des Chevaliers – ‘นี่คืออนุสรณ์สถานที่งดงามที่สุดในยุคสงครามครูเสด’ ด้วยความงดงามของหินซึ่งมีสัดส่วนที่สง่างาม ความทุ่มเทในการสร้าง ความแม่นยำไร้ที่ติ และความเป็นเลิศทางงานฝีมือที่ไม่มีใครเทียบ
“ครัก เด เชอวาลีเย” หรือรู้จักกันในภาษาอาหรับว่า Hisn al-Akrad) เป็นปราสาทครูเสดที่ตั้งอยู่ในประเทศซีเรีย เป็นปราสาทในซีเรียที่สร้างขึ้นในปี 1031เพื่อกษัตริย์แห่งอะเลปโป และสร้างขึ้นใหม่ในปี 1144 โดยอัศวินครูเสด ที่คอยดูแลคนยากจน ผู้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย และผู้แสวงบุญที่เดินทางมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดในตะวันออกกลางและเป็นป้อมปราการต่อต้านการขยายตัวของรัฐมุสลิมในช่วงศตวรรษที่ 12 และ 13 ปัจจุบันปราสาทได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในปี 2006
ปราสาทครัก เด เชอวาลีเย ขยายออกไปด้วยกำแพงป้องกันชั้นนอกที่สร้างขึ้นมาใหม่ทำให้กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาค เนื่องจากที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้อยู่บนป้อมปราการธรรมชาติใกล้ชายฝั่งทางตอนใต้ของซีเรียระหว่างทาร์ทัสและตริโปลี ตัวปราสาทตั้งอยู่บนหุบเหวสูงชันด้านทิศเหนือถือเป็นเส้นทางที่สำคัญซึ่งทำให้เข้าถึงจากชายฝั่งไปยังที่ราบในซีเรียได้ ทำให้ช่วยควบคุมพื้นที่โดยรอบ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามทางทหารต่อกองทัพต่างๆ ที่ผ่านพื้นที่ดังกล่าว
วันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1170 เกิดแผ่นดินไหวในภูมิภาคนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับปราสาทหลายแห่งรวมทั้งครัก เด เชอวาลีเยด้วย และต่อมาได้เกิดแผ่นดินไหวอีกครั้งในปีค.ศ.1202 และเป็นไปได้ว่าเหล่าอัศวินบริบาล ใช้โอกาสนี้ในการออกแบบใหม่และมีการเพิ่มกำแพงป้องกันและหอคอยศูนย์กลางของปราสาทเข้าในการก่อสร้างครั้งนี้
ประวัติความเป็นมาของปราสาทในภายหลังมีความคลุมเครือและดูเหมือนว่าจะถูกละเลยไปมาก และเมื่อไม่นานมานี้ปราสาทได้รับความเสียหายบางส่วนในช่วงสงครามกลางเมืองของซีเรียตั้งแต่ปี 2011- 2014 แต่ครัก เด เชอวาลีเยและยังคงเป็นหนึ่งในปราสาทยุคกลางที่ดีที่สุดที่ยังตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลา ทนต่อความขัดแย้ง สงครามการแบ่งแยกศาสนา และการยึดครองมานานหลายศตวรรษ

The Great Fortresses around the World #24 Mehrangarh Fort, ราชสถาน อินเดีย – ‘ป้อมเมห์รานการห์’ ตั้งตระหง่านบนหน้าผาสูงเหนือมหาสมุทรและเส้นท้องฟ้าของเมืองจอดห์ปูร์ หินทรายสีแดงที่ดูทรงพลังยังอยู่ยงคงกระพันมาหลายร้อยปีและยังแฝงไปด้วยความสวยงามแปลกตาชวนให้หลงใหล มีเรื่องราวและตำนานโบราณที่มากมายเกี่ยวกับ ‘ป้อมปราการแห่งดวงอาทิตย์” Citadel of the Sun แห่งนี้ ชื่อ Mehrangarh มาจากการรวมกันของคำภาษาสันสกฤตสองคำ “Mihir” หมายถึงเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และ “Garh” หมายถึงป้อมปราการ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในป้อม Mehrangarh เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จากเทพนิยายฮินดู ป้อมขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นป้อมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐราชสถานตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูง 400 ฟุต ด้วยขนาดอันมหึมาอันน่าเหลือเชื่อจน ‘รัดยาร์ด คิปลิง’ กวีและนักเขียนชาวอังกฤษในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรียกป้อมนี้ว่า “ผลงานของยักษ์ไททัน” ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นป้อมปราการที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย ป้อมเมห์รานการห์ถือเป็นความภาคภูมิใจของจอดห์ปูร์ ถูกสร้างขึ้นโดย มหาราชา ‘ราโอ จอดา’ Rao Jodha ในปี 1459 ถือเป็นป้อมที่น่าเกรงขามและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐราชสถาน กำแพงป้อมมีความสูง 118 ฟุตและกว้าง 69 ฟุต งานแกะสลักที่สลับซับซ้อนบนกำแพงป้อมและลานกว้างประวัติศาสตร์ มีประตูทางเข้า 7 ประตูที่สร้างขึ้นโดยผู้ปกครองที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ ‘ประตูแห่งชัยชนะ’ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะของ ‘มหาราชามันซิงห์’ เหนือกองทัพชัยปุระและไบคาเนอร์
ป้อมนี้ยังมีพระราชวังที่หรูหราเช่น Sheesh Mahal (Glass Palace) และ Phool Mahal (Rose Palace) นอกจากนี้ยังมีวัดโบราณสองแห่งตั้งอยู่ภายใน ป้อมเมห์รานการห์ปรากฏตัวในผลงานฮอลลีวูดหลายเรื่องเช่น The Lion King, Batman – The Dark Knight Rises

The Great Fortresses around the World #25 Kumbhalgarh Fort Rajasthan, ราชสถาน อินเดีย – ‘อาณาจักรเมวาร์’ เป็นพื้นที่ในภาคใต้ตอนกลางของรัฐราชสถานของอินเดียซึ่งได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการถึง 84 แห่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขามานานหลายศตวรรษ ‘ป้อมคัมบาลการห์’ เป็นหนึ่งในป้อมปราการเหล่านั้น ป้อมคัมบาลการห์สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เป็นป้อมที่สำคัญที่สุดรองจากป้อม ‘จิตตอร์การห์’ Chittorgarh ป้อมแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2013 ซึ่งรวมอยู่ใน ,ป้อมภูเขาทั้ 6 แห่งราชสถาน, ‘Hill Forts of Rajasthan’ ประกอบด้วย ป้อม Chittorgarh, Kumbhalgarh, Sawai Madhopur, Jhalawar, Amer Fort ในชัยปุระ และ Jaisalmer คัมบาลการห์เป็นหนึ่งในป้อมไม่กี่แห่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครพิชิตได้มาจนถึงปัจจุบัน สาเหตุที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือที่ตั้งอันมั่นคงที่ล้อมรอบป้อมปราการด้วยกำแพงขนาดใหญ่สูงตระหง่านซึ่งดูลึกลับและคดเคี้ยวผ่านหุบเขาที่แห้งแล้งทอดยาวข้ามเทือกเขาอาราวาลี มีความกว้าง 15 เมตร ความยาวถึง 36 กม. ซึ่งสันนิษฐานว่ายาวที่สุดรองจากกำแพงเมืองจีน ป้อมแห่งนี้สูงประมาณ 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล มียอดเขา 13 ยอดล้อมรอบป้อมป้อมคัมบาลการห์ ประตูขนาดใหญ่ 7 แห่ง และหอสังเกตการณ์ของป้อมสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาอาราวาลี หอคอยอันยิ่งใหญ่นี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับป้อมปราการยิ่งขึ้น ภายในมี ‘พระราชวังบาดัลมาฮาล’ หรือ ‘พระราชวังแห่งเมฆ’ ที่มีห้องอันโอ่อ่าทาสีขาวและสีเขียวเทอควอยซ์ซึ่งตัดกันอย่างสะดุดตากับป้อมสีเทาที่อยู่ที่ด้านบนสุดของป้อม นอกจากนี้ภายในป้อมขนาดมหึมายังมีมีวัดถึง 360 แห่ง ทั้งวัดเชนและวัดฮินดู คัมบาลการห์ เป็นที่รู้จักกันดีว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของ Maharana Pratap กษัตริย์และนักรบในตำนานของอาณาจักรเมวาร์

The Great Fortresses around the World #26 Janjira Fort, รัฐมหาราษฏระ อินเดีย – ‘ป้อมจันจิรา’ ตั้งอยู่บนเกาะหินรูปวงรีใกล้กับเมืองท่ามุรุท Murud ซึ่งอยู่ทางใต้ของมุมไบ ล้อมรอบด้วยทะเลอาระเบียน เป็นป้อมทางทะเลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย ป้อมนี้เข้าถึงได้โดยเรือจากท่าเทียบเรือราชปุร์ ซึ่งประตูใหญ่ของป้อมหันหน้าไปทางราชปุร์เช่นกัน ชื่อ Janjira มาจากคำภาษาอาหรับว่า Jazeera ซึ่งแปลว่า ‘เกาะ’ โครงสร้างดั้งเดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เพื่อป้องกันการปล้นสดมภ์จากโจรสลัด จากป้อมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดเล็กในศตวรรษที่ 15 หลังจากถูกยึดโดย ‘มาลิก อัมบาร์’ Malik Amber ทาสชาวแอฟริกันที่กลายเป็นนักรบแห่งราชวงศ์ซิดดิ Siddi ป้อมปราการก็ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งและยังคงยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าชาวโปรตุเกสและอังกฤษจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยึดป้อมจันจิราแต่ก็ไม่สามารถมีชัยชนะเหนือป้อมนี้ได้ ป้อมจันจิราถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีความสูงถึง 40 ฟุต และมีกำแพงสูงล้อมรอบทุกด้าน ผ่านการทดสอบของกาลเวลา ยืนหยัดฝ่าคลื่นทะเลอย่างแข็งแกร่งมาหลายร้อยปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของวิศวกรรมโบราณ ในยุครุ่งเรืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นทั้งหมดเช่น พระราชวัง มัสยิด ถังเก็บน้ำจืดขนาดใหญ่ ฯลฯ ที่ผนังด้านนอกที่ขนาบข้างประตูใหญ่มีรูปสลักที่มีรูปเหมือนเสือ สัตว์ร้ายกำลังเกาะช้างไว้ในกรงเล็บ ว่ากันว่าเป็นรูปสลักนี้มีความหมายที่ยากต่อการตีความ ซึ่งจะเห็นปรากฏบนประตูป้อมหลายแห่งของรัฐมหาราษฏระ ป้อมปราการมีคลังอาวุธที่แข็งแกร่ง ป้อมปราการทรงกลม 26 ที่บรรจุปืนใหญ่ 512 กระบอก ปืนใหญ่เหล่านี้บางส่วนยังสามารถพบเห็นได้อยู่รอบๆ

The Great Fortresses around the World #27 ‘ป้อมอาเมร์ หรือ ป้อมแอมเบอร์’ Amer Fort, ชัยปุระ หรือ จัยปูร์ อินเดีย – พระราชวังมหาราชาอันหรูหราในศตวรรษที่ 16 แห่งนี้เป็นการออกแบบผสมผสานระหว่างศาสนาฮินดูและอิสลามอย่างมีเอกลักษณ์ และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2013 ป้อมแห่งนี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ป้อมภูเขาทั้ง 6 แห่งในรัฐราชสถาน’ ป้อมแห่งนี้นี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่งดงามของราชปุตในยุคนั้นอย่างชัดเจน มีการต่อเติมและบูรณะในป้อมในเวลาต่อมา ป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ได้ทำหน้าที่ยืนหยัดต่อสู้กับ และการรุกรานตลอดรายร้อยปีที่ผ่านมา ป้อมแอมเบอร์มีความสำคัญและสวยงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอนุสรณ์สถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจากยุครุ่งเรืองของการปกครองของราชปุตในรัฐราชสถาน ตั้งอยู่เหนือเมืองแอมเบอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Kuchwaha Rajputs ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 18 ‘มหาราชามานซิงห์’ ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพของจักรพรรดิโมกุลอัคบาร์เริ่มก่อสร้างป้อมนี้ในปี 1592 บนซากป้อมสมัยศตวรรษที่ 11 เทือกเขาอาราวารี ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปที่ชัยปุระในปี 1727 สร้างขึ้นด้วยหินทรายสีเหลืองอ่อนและสีชมพูและหินอ่อนสีขาว ป้อมแอมเบอร์ดูเหมือนเป็นพระราชวังมากกว่าป้อมปราการโดยรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบการผสมผสานระหว่างราชปุต (ฮินดู) และโมกุล (อิสลาม) ภายในประกอบด้วยลานสี่แห่ง พระราชวัง ห้องโถง และสวน แต่ละส่วนของป้อมที่งดงามมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยมีพื้นที่ที่แตกต่างกันเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ลานหลักเป็นที่ชุมนุมของกองทหารของกษัตริย์ วิหารเล็กๆ ที่สร้างอุทิศให้กับ ‘ชิลาเทวี’ Sheela Mata เทพธิดาผู้อุปถัมภ์ และ ‘พระพิฆเนศโปล’ ซึ่งเป็นประตูที่นำไปสู่พระราชวังส่วนตัวของกษัตริย์ ป้อมแอมเบอร์มีความสำคัญและสวยงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอนุสรณ์สถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจากยุครุ่งเรืองของการปกครองของราชปุตในรัฐราชสถาน

The Great Fortresses around the World #28 Castillo de San Marcos ฟลอริด้า อเมริกา – อเมริกาเริ่มต้นที่นี่..! ป้อม ซาน มาร์โกส สร้างโดยชาวสเปนในเมืองเซนต์ออกัสติน ริมอ่าวมาตันซัส Matanzas อันกว้างใหญ่ เพื่อปกป้องฟลอริดาและเส้นทางการค้าในมหาสมุทรแอตแลนติกจากการโจมตีของโจรสลัด เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1672-1695 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 23 ปี เป็นป้อมก่ออิฐที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาเป็น และเป็นสิ่งก่อสร้างทางทหารแห่งเดียวในศตวรรษที่ 17 มีอายุเกือบ 350 ปี การออกแบบป้อมปราการเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มีหอคอยสังเกตการณ์สี่ด้านคล้ายรูปดาว ล้อมรอบด้วยคูน้ำสไตล์อิตาลี วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั่นคือ ‘หินโคกีนา’ Coquina ซึ่งเป็นหินปูนอ่อนที่ประกอบด้วยเศษเปลือกหอยที่มีน้ำหนักเบาและมีรูพรุน แทนที่จะแตกร้าวหรือพังทลายกำแพงจากกระสุนปืนใหญ่ แต่หินโคกีนามีคุณสมบัติช่วยดูดซับกระสุนปืนของศัตรูซึ่งทำให้กระสุนถูกดูดติดเข้าไปในกำแพงแทนการระเบิด ป้อมปราการถูกไฟไหม้เป็นครั้งแรกในปี 1702 โดยกองกำลังของอังกฤษ แต่ไม่สามารถเจาะกำแพงของป้อมนี้ได้ การโจมตีครั้งต่อมาในปี ค.ศ.1728 และ ค.ศ.1740 ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันและกองทัพอังกฤษก็ยังไม่สามารถยึดเมืองเซนต์ออกัสตินได้จากกำลังทหาร อย่างไรก็ตามในปี 1763 ฟลอริดาได้กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยการลงนามในสนธิสัญญาปารีสจึงเริ่มต้นการปกครองของอังกฤษเป็นเวลา 20 ปี ป้อมแห่งนี้ถูกใช้เป็นคุกทหารในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา The American Revolutionary War (1775–1783) ในตอนท้ายของสงครามปฏิวัติอเมริกา ฟลอริดาถูกส่งกลับไปยังสเปนในปี 1784 จนกระทั่งฟลอริดากลายเป็น ดินแดนของสหรัฐอเมริกาในปี 1821 ชาวอเมริกันเรียกป้อมนี้ว่า Castillo Fort Marion ซึ่งเป็นเกียรติแก่นายพล ฟรานเซส แมเรียน รัฐบาลสหรัฐฯใช้ Fort Marion เป็นคุกสำหรับชาวอเมริกันพื้นเมืองในช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 ป้อมแห่งนี้ถูกปลดประจำการอย่างเป็นทางการในปี 1900 และได้รับการอนุรักษ์และได้รับการยอมรับว่าเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี 1924 สภาคองเกรสได้เปลี่ยนชื่อป้อมในปี 1942 โดยเปลี่ยนเป็นมาใช้ชื่อภาษาสเปน ว่า Castillo de San Marcos ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของเซนต์ออกัสตินในศตวรรษที่ 17

The Great Fortresses around the World #29 Königstein Fortress, เยอรมนี – ป้อมปราการคูนิชสไตน์ หรือที่เรียกว่า “Saxon Bastille” เป็นป้อมปราการบนยอดเขาในเมืองคูนิชสไตน์ ตั้งตระหง่านสูงขึ้นไป 240 เมตรเหนือหุบเขาเอลเบ Elbe Valley ในพื้นที่ ‘แซกซอน สวิตเซอร์แลนด์’ ใกล้กับเมืองเดรสเดน ประเทศเยอรมนี ในรูปแบบสถาปัตยกรรม โกธิค เรอเนสซองซ์ บาโรก และสถาปัตยกรรมศตวรรษที่ 19 ตอนปลาย มีอายุกว่า 750 ปี ประวัตศาสตร์ของป้อมปราการคูนิชสไตน์ เริ่มต้นศตวรรษที่ 13 ในฐานะป้อมปราการยุคกลางที่เป็นของอาณาจักรโบฮีเมียน ในช่วงทศวรรษที่ 14 ชาวแซกซอนได้พิชิตป้อมแห่งนี้ และต่อมาได้เปลี่ยนให้ฐานที่มั่นและเป็นอารามในศตวรรษที่ 16 ก่อนที่ Christian I of Saxony จะเปลี่ยนเป็นป้อมปราการในปี 1589 จากนั้นใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ จนกระทั่งนโปเลียนพิชิตปรัสเซียได้ จึงกลายเป็นป้อมปราการของ ‘สมาพันธ์แม่น้ำไรน์’ ภายในมีอาคารมากกว่า 50 หลังซึ่งบางหลังมีอายุมากกว่า 400 ปีซึ่งเป็นพยานถึงชีวิตของทหารและพลเรือนในป้อมปราการ เชิงเทินของป้อมปราการมีความยาว 1,800 เมตร มีกำแพงสูงถึง 42 เมตร ค่ายทหารที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี ‘โบสถ์ทหารรักษาการณ์แซกซอนแห่งแรก’ Saxonian Garrison Church และบ่อน้ำประวัติศาสตร์ที่ลึกที่สุดในแซกโซนี (152.5 เมตร) และเป็นบ่อน้ำที่ลึกเป็นอันดับสองในยุโรป ป้อมปราการคูนิชสไตน์ยังคงถูกใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ที่หลบภัยสำหรับทหารไปจนถึงที่หลบซ่อนของราชวงศ์แซกซอน และยังถูกใช้เป็นค่ายกักกันเชลยศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2

The Great Fortresses around the World #30 Guaita Tower, ซานมาริโน่ – ‘หอคอยกูไอตา’ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บนความสูง 750 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหอคอยสามแห่ง (อีกสองแห่งคือ De La Fratta และ Tower Montale) ในสาธารณรัฐซานมาริโน สาธารณรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปและประเทศที่เล็กที่สุดอันดับที่ 3 ของยุโรปรองจากวาติกันและโมนาโก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี 2008 จากภาษาอิตาลีชื่อของหอคอย Guaita แปลว่า ‘หอคอยแรก’ ที่ดูคล้ายกับปราสาทในเทพนิยายซึ่งทอดตัวสูงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าสีฟ้าคราม ต่อมาป้อมปราการได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่หลายครั้งทำให้เกิดความงดงามสูงสุดในศตวรรษที่ 15 ป้อมปราการมีบทบาทสำคัญในช่วงทศวรรษ 1600 เมื่อช่วยปกป้องซานมารีโนในช่วงสงครามที่ต่อสู้กับตระกูลมาลาเทสต้าผู้มีตำแหน่งเป็นลอร์ดแห่งริมินี กูไอตาตั้งตระหง่านมานานกว่า 10 ศตวรรษ เคยเป็นเรือนจำในปี 1970 โครงสร้างของยุคกลางที่ยั่งยืนนี้มีลักษณะเป็นรูปห้าเหลี่ยมโดยมีหอคอยป้อมปราการตรงกลาง มีกำแพงล้อมรอบสองชั้น กำแพงด้านนอกเรียงรายไปด้วยเชิงเทินได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายจากสงครามในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

