
03
Nov
สเปน
ตำนานป้อมปราการ The Great Fortresses around the World
ตำนานป้อมปราการ ตำนานความแข็ง ที่เป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่น
ตำนานป้อมปราการ มนุษยชาติได้เรียนรู้มาตั้งแต่เนิ่นๆในประวัติศาสตร์ของเราว่า ‘เพื่อปกป้องผืนดินต้องเสริมสร้าง’ จากจุดเริ่มต้นนี้ได้พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของโลกอยู่ตลอดเวลา … จากป้อมปราการที่เป็นกำแพงดินและกำแพงไม้ที่เรียบง่าย พัฒนาไปสู่ โครงสร้างที่ซับซ้อนและสง่างามในยุคกลาง ดินปืนและปืนใหญ่ทำให้โครงสร้างอันล้าสมัยถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกำแพงดินในแนวราบ เช่น ป้อมดาวซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป… แม้ยุคกลางจะถูกเรียกว่ายุคมืด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมถอย โดยรวมหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันโบราณ ป้อมปราการที่สวยงามยังคงมีชีวิตอยู่ตลอดหลายศตวรรษ จากตำนานและจินตนาการที่เต็มไปด้วยป้อมปราการและปราสาทโบราณ เสมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก โครงสร้างที่สูงตระหง่านและสวนที่อุดมสมบูรณ์ ป้อมปราการของกษัตริย์และเหล่าอัศวิน ทำให้เราได้กลับมาเยี่ยมชมโลกของนิทานก่อนนอนในวัยเด็กของเราอีกครั้ง… ตั้งแต่ป้อมปราการบนเทือกเขาหิมะไปจนถึงปราสาทยุคกลางที่เหมือนเทพนิยายในยุโรปตะวันออก จากป้อมปราการที่แข็งแกร่งของชาวตะวันตกไปจนถึงป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันออกที่สะท้อนความงามของธรรมชาติอันน่าหลงใหลเหล่านี้ และจากนี้ไปเราจะได้พบกับป้อมปราการโบราณที่ได้ผ่านการทดสอบของกาลเวลานับร้อยนับพันปีเพื่อรอให้เรามาเยี่ยมชมเพื่อเติมเต็มเรื่องราวจากหนังสือนิทานแห่งโลกจินตนาการที่จะทำให้เราหลงเชื่ออย่างเต็มหัวใจ…
#1 The Rock of Gibraltar
มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในปัจจุบันเช่นเดียวกับในสมัยโบราณ ป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นเวลานับพันปี The Rock of Gibraltar หรือเรียกง่ายๆว่า ‘The Rock’ ดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษในยิบรอลตาร์ ปัจจุบันพื้นที่ส่วนบนของเดอะร๊อคส่วนใหญ่เป็นเขตอนุรักษ์ลิงแสมบาร์บารี… ในสมัยโบราณเดอะร๊อคถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งเฮอร์คิวลิส แต่ชาวโรมันเรียกมันว่า ‘Mons Calpe’ ส่วนเสาอื่นๆ อย่าง Mons Abyla หรือ Jebel Musa ตั้งอยู่ทางฝั่งแอฟริกาของช่องแคบยิบรอลตาร์ ‘เดอะร็อค’ เป็นที่ตั้งของปราสาทมัวร์ที่เก่าแก่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองยิบรอลตาร์และสเปนในอดีตกว่า 700 ปี ปราสาทถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.711 และยิบรอลตาร์ตกเป็นของของสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1704 ในช่วงสงครามการสืบราชสมบัติของสเปน ปัจจุบันยังคงเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอังกฤษ เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดของ ‘เดอะร๊อค’ และคุณรู้สึกราวกับว่าคุณอยู่ในจุดสูงสุดของโลก ยุโรปและแอฟริกาอยู่ใกล้คุณ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่ขนาบข้างทั้งสองด้านเสมือนยืนอยู่ด้านหน้าประตูสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
การเดินทางสู่จุดสูงสุดของ ‘เดอะร๊อค’ มอบรางวัลอันน่าทึ่งคือมุมมองจากความสูง 1,400 ฟุต (426 เมตร) คุณจะเห็นแนวชายฝั่งของแอฟริกาที่ซึ่งน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกไหลมาบรรจบกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่คอสตาเดลโซลทางใต้ของสเปน เมืองด้านล่าง อ่าวและท่าเรือ รวมถึงชายหาดสีขาวที่ทอดยาวสุดสายตา

#2 Rumeli Castle Rumelihisari, Istanbul
ป้อมรูเมลีฮิซารี เป็นป้อมปราการในยุคกลางที่สร้างโดยพวกออตโตมานเพื่อใช้ยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ผลงานการของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิ ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ.1451 ถึง 1452 เพื่อควบคุมการค้าและการทหาร และเตรียมพร้อมสำหรับการปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิล ป้อมรูเมลีฮิซารีตั้งอยู่บนชายฝั่งของช่องแคบบอสฟอรัสในจุดที่แคบที่สุดโดยมีระยะประมาณ 660 เมตร อยู่ตรงข้ามกับป้อมปราสาท อนาโดลู ฮิซาริ (Anadolu Hisarı) บนฝั่งเอเชียด้านตรงข้าม ที่สร้างขึ้นในปี 1394 เพื่อป้องกันความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่มาจากทางทะเลเหนือและทะเลดำ โดยป้อมปราการขนาดใหญ่สร้างเสร็จในเวลาเพียงสี่เดือน เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ควบคุมการสัญจรทั้งหมดบนช่องแคบบอสฟอรัสและตัดเมืองคอนสแตนติโนเปิลออกจากทางทะเลเหนือ ด้วยความอดอยากจากการถูกปิดล้อมทำให้คอนสแตนติโนเปิลจะล่มสลายในปี 1453 ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้เป็นด่านศุลกากรที่ค่อนข้างใหญ่และน่าประทับใจสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ใช้เป็นค่ายทหารต่อมาเป็นคุก และในที่สุดก็เป็นโรงละครกลางแจ้ง แต่ไม่เคยใช้เป็นป้อมปราการอีกเลย ป้อมรูเมลีฮิซารีประกอบด้วยหอคอยขนาดใหญ่สามแห่ง และหอคอยขนาดเล็กอีกสิบสามแห่งซึ่งทั้งหมดอยู่ในสภาพดีมาก สถาปนิกของปราสาทคือสถาปนิก Müslihiddin และเมื่อสร้างเสร็จ ชื่อของป้อมแห่งนี้คือ Boğazkesen (Strait Cutter) หรือ ‘เครื่องตัดคอ’

#3 Fort Bourtange
‘ป้อมปราการที่ไม่เคยถูกพิชิต’ …ในศตวรรษที่ 15 เป็นยุคของดินปืนและปืนใหญ่เข้ามามีอำนาจในสนามรบรูปแบบใหม่ ป้อมปราการในยุโรปได้รับการพัฒนาให้มีลักษณะคล้ายกับดาว ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะให้ครอบคลุมกันและกันโดยมีคูน้ำกว้างป้องกันอีกชั้นหนึ่ง กำแพงป้องกันถูกทำให้ต่ำลงและหนาขึ้น และได้รับการป้องกันด้วยตลิ่งที่ลาดเอียงเพื่อให้กำแพงทั้งหมดถูกซ่อนจากการยิงปืนใหญ่ในแนวนอน ป้อมปราการใหม่ได้รับความนิยมมากจนการออกแบบได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากชาติอื่นๆ จนถึงอินเดียและญี่ปุ่น
พื้นที่ทางตอนเหนือของฮอลแลนด์ใกล้ชายแดนเยอรมันเป็นที่ตั้งของป้อม ‘บูร์แตงจ์’ Fort Bourtange หรือ ‘ป้อมดาว’ ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านบูร์แตงจ์ เมืองโกรนิงเก้น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายใต้คำสั่งของเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ William the I of Orange ในช่วงสงครามแปดสิบปี เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ.1566-1648 ชาวสเปนมีอำนาจควบคุมโกรนินเกนและถนนที่นำไปสู่เยอรมนี เจ้าชายวิลเลียมเห็นว่าจำเป็นต้องตัดขาดการสื่อสารระหว่างโกรนินเกนและเยอรมนี พระองค์ตัดสินใจว่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะสร้างป้อมปราการบนเส้นทางบูร์แตงจ์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่นำไปสู่เยอรมนี
ป้อมดาวบูร์แตงจ์ ถูกขยายออกไปในทศวรรษต่อๆ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงจึงตกอยู่ในสภาพทรุดโทรม ในปีค.ศ.1681 คูน้ำรอบๆ ทั้งหมดก็แห้งลงเพราะเกษตรกรในท้องถิ่นเปลี่ยนช่องทางน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากป้อมเพื่อทำการเกษตร ในที่สุดในปี 1851 เมืองป้อมบูร์แตงจ์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านกว่า 100 ปี ต่อมาในปี 1960 รัฐบาลท้องถิ่นตัดสินใจที่จะบูรณะป้อมปราการเก่าให้กลับมามีลักษณะในเหมือนในปี 1740-1750 และป้อมโบราณแห่งได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน

#4 Chittorgarh Fort
ป้อมจิตตอร์การห์ เป็นสัญลักษณ์ของ ความกล้าหาญ และเกียรติยศของราชวงศ์ราชปุต ที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึง 16 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายที่ถูกปกคลุมไปด้วยเรื่องราวโศกนาฎกรรมและตำนาน นี่คือเป็นป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย เชื่อกันว่าตั้งชื่อตามบุคคลที่สร้างคือจิตรกรดาโมริแห่งราชวงศ์โมริยะ กล่าวกันว่าแหล่งน้ำที่ตั้งอยู่ติดกับป้อมนี้สร้างขึ้นโดย ‘ภีมะ’ วีรบุรุษในตำนานของมหากาพย์มหาภารตะยุทธ์ ประตูป้อมหลายแห่งตั้งชื่อตามตัวละครในมหากาพย์รามายณะ เช่น ประตูพระพิฆเนศ ประตูหนุมาน ประตูพระลักษมัน และประตูพระราม ป้อมปราการถูกโจมตีสามครั้ง ครั้งแรกในปี 1303 ป้อมแห่งนี้ถูกโจมตีโดย สุลต่านอะลาอุดดิน คิลจี (Alauddin Khilji) กษัตริย์นักรบมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากเพราะเขาต้องการป้อมปราการที่แข็งแกร่งแห่งนี้ หรืออาจเพียงเพราะเขาต้องการแค่ “ปัทมาวตี’ Padmavati ราชินีที่ผู้เลอโฉมของกษัตริย์ รัตนสิงห์ กษัตริย์ราชปุตแห่งจิตตอร์การห์ ประชาชน 30,000 คน รวมถึงกษัตริย์ รัตนสิงห์ สิ้นพระชนม์ในการต่อสู้ และพระนางปัทมาวตีและผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดเขากองไฟเผาตัวเองเพื่อปกป้องเกียรติยศของพวกเขา ครั้งที่สองป้อมถูกโจมตีโกยสุลต่านบาฮาดูร์ชาห์แห่งคุชราตในปี 1535 และครั้งสุดท้ายในปี 1567 ถูกโจมตีโดยจักรพรรดิโมกุลอัคบาร์เพื่อพิชิตมหาราณาอุไดซิงห์ ป้อมจิตตอร์การห์เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลายแห่งเช่น Rana Kumbha Palace, Fateh Prakash Palace, Tower of Victory และ Rani Padmini’s Palace โครงสร้างทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อลักษณะทางสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ยังมีวัดหลายแห่งภายในป้อม วัดเชนซึ่งขนาดใหญ่และซับซ้อน ปัจจุบันป้อมจิตตอร์การห์และป้อมเนินเขาอื่นๆ ของรัฐราชสถานได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2013


#6 Prague Castle
ปราสาทปราก “ป้อมปราการสไตล์บาร็อคของเช็ก” ก่อตั้งขึ้นในราวในศตวรรษที่ 9 (ค.ศ.870) โดยเจ้าชายโบชิโวจแห่งราชวงศ์พรีมีสโลวีซี ใช้สำหรับเป็นที่ประทับของกษัตริย์โบฮีเมียมายาวนานกว่า 1,000 ปี ต่อมากษัตริย์เวนเซสลาสได้เพิ่มอาคารทางศาสนาอีกสองแห่งภายในบริเวณนี้ ได้แก่ มหาวิหารเซนต์จอร์จและมหาวิหารเซนต์วิตัสซึ่งได้กลายเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของกษัตริย์โบฮีเมียนหลายองค์
จากข้อมูลใน Guinness Book of World Records ปราสาทปรากเป็นปราสาทที่เชื่อมต่อกันที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีพื้นที่เกือบ 70,000 ตารางเมตร รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโกในปี 1992 ประกอบด้วยพระราชวังขนาดใหญ่ ป้อมปราการ และวิหารในรูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งโรมาเนสก์และแบบกอธิค ต่อมาตัวปราสาทถูกทิ้งร้างเป็นเวลาหลายสิบปีแม้ว่าโบสถ์และป้อมรอบๆ จะยังคงใช้งานอยู่ จนกระทั่งถึงปี 1485 งานก่อสร้างก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มป้อมปราการเพิ่มเติม
หลังจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในช่วงกลางทศวรรษ 1500 ปราสาทปรากได้รับการบูรณะอีกครั้ง แต่จะได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงการปฏิวัติโบฮีเมียนและการต่อสู้กับกองทัพสวีเดนที่ได้เข้ามาปล้นสะดมในปี 1648 จนกระทั่งปี 1848 ปราสาทได้รับการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งภายใต้การแนะนำของจักรพรรดินีมาเรียเทเรซ่า
บางทีหนึ่งในคืนที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของป้อมปราสาทแห่งนี้คือคืนวันที่ 15 มีนาคม 1939 หลังจากยึดครองปราก อดอล์ฟฮิตเลอร์ใช้เวลาทั้งคืนที่ปราสาทด้วยความภาคภูมิใจกับชัยชนะ หลังจากฮิตเลอร์ออกจากเมืองไม่นาน นายพล รีนฮาร์ต เฮย์ดริช ซึ่งเปรียบเสมือนมือซ้ายของฮิตเลอร์ ที่ถูกส่งให้ไปปกครองโบฮีเมียและโมราเวีย ก็ถูกโจมตีและเสียชีวิตในปีค.ศ.1942 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปฏิบัติการแอนโธรพอยด์’ (Operation Anthropoid) ซึ่งเป็นรหัสนามสำหรับการลอบสังหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

#7 ป้อมอัลซูบาราห์ Al Zubarah กาตาร์
ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าที่คึกคักไปด้วยชาวประมงและพ่อค้า เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของเมืองการค้าอ่าวในศตวรรษที่ 18 และ 19 ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในปี 2013 ป้อมอัลซูบาราห์ถูกสร้างขึ้นในปี 1938 เป็นป้อมปราการที่อายุน้อยที่สุดและโดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้
เมืองชายฝั่งอัลซูบาราห์ ที่มีกำแพงล้อมรอบในอ่าวเปอร์เซียเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการค้าและไข่มุกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนที่มันจะถูกทำลายในปี 1811 และถูกทิ้งร้างในต้นปี 1900
เมืองอัลซูบาราห์ก่อตั้งโดยพ่อค้าจากคูเวตมีเส้นทางการค้าข้ามมหาสมุทรอินเดีย อาระเบีย และเอเชียตะวันตก เมืองอัลซูบาราห์ส่วนใหญ่ถูกทำลายในปี 1811 และในที่สุดก็ถูกทิ้งร้างในต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากนั้นอาคารหินและปูนที่เหลืออยู่ก็พังทลายลงและค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยชั้นทราย โดยพายุทรายที่พัดมาได้ปกป้องซากของพระราชวัง มัสยิด ถนนหนทาง บ้าน และกระท่อมของชาวประมงให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
เมืองอัลซูบาราห์เจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการค้าและไข่มุกเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็นำไปสู่การพัฒนารัฐอิสระขนาดเล็กที่เจริญรุ่งเรืองนอกการควบคุมของจักรวรรดิออตโตมัน ยุโรป และเปอร์เซีย และนำไปสู่การเกิดขึ้นของรัฐอ่าวยุคปัจจุบันในที่สุด

#8 Belogradchik Fortresses บัลแกเรีย
‘ป้อมเบโลกราดชิค’ หรือ ป้อมคาเลโต ตั้งอยู่บนเนินทางทิศเหนือของเทือกเขาเบโลกราดชิค ซึ่งประกอบด้วยหินทรายรูปทรงแปลกตา หินบางก้อนมีความสูงถึง 200 เมตร หินทรายที่มีรูปร่างแปลกประหลาดก่อที่ตัวขึ้นเมื่อกว่า 200 ล้านปีก่อนหลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของก้นทะเล
ป้อมปราการมีอายุย้อนกลับไปในสมัยโรมัน ทั้งป้อมปราการและกลุ่มโขดหินต่างที่แปลกตาน่าประทับใจและมีทิวทัศน์ที่สวยงามของบริเวณโดยรอบ ชาวโรมันฉลาดพอที่จะเลือกจุดยุทธศาสตร์ที่แทบไม่ต้องสร้างเลยเนื่องจากภูมิทัศน์ที่เป็นแท่งหินตามธรรมชาติอันเป็นแนวป้องกันที่มั่นคงในศตวรรษที่ 14 ซาร์ อีวาน ซาร์ซิเมียร์ แห่งบัลแกเรีย ได้ขยายป้อมปราการเก่าและสร้างป้อมรักษาการณ์ก่อนหมู่หินที่มีอยู่ ป้อมแห่งนี้กลายเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค ในตอนท้ายของศตวรรษนี้ป้อมปราการเบโลกราดชิคถูกยึดโดยพวกออตโตมาน
ป้อมปราการต้องได้รับหน้าที่ทางทหารที่ยากขึ้นเพราะในเวลานั้นจักรวรรดิออตโตมันกำลังทำสงครามเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ในยุโรป ดังนั้นจึงบังคับให้ผู้ปกครองหลายคนรวมทั้งชาวบัลแกเรียต้องเสริมสร้างระบบป้องกันของตน ในระหว่างการปกครองของออตโตมัน ป้อมปราการได้รับการสร้างขึ้นใหม่และเสริมกำลังอีกหลายครั้ง
ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้งานครั้งสุดท้ายในปี 1855 ในสงครามเซอร์เบีย – บัลแกเรีย

The Great Fortresses around the World’ #9 ป้อมมาซาดา Masada Fort, กรุงเยรูซาเล็ม – ป้อมปราการอันสง่างามซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของชาวยิว ในฐานะฐานที่มั่นสุดท้ายของชาวยิวที่ต่อต้านการรุกรานของโรมันถัดจากการล่มสลายของเยรูซาเล็ม ป้อมปราการตั้งอยู่บนหน้าผาหินอันโดดเดี่ยวทางตะวันตกสุดของทะเลทรายจูดีน ‘Judean’ เวลาผ่านไปกว่าสองพันปีนับตั้งแต่การล่มสลายของป้อมปราการมาซาดา แต่สภาพอากาศในภูมิภาคและความห่างไกลได้ช่วยรักษาซากของเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาเอาไว้
ป้อมปราการหินโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่สูงเหนือทะเลเดดซีบนเนินหินเมซา ปัจจุบันเป็นอุทยานแห่งชาติของอิสราเอล มีซากปรักหักพังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอิสราเอลโบราณและความกล้าหาญของผู้คนเมื่อเผชิญกับการโจมตีของโรมัน
ป้อมปราการแห่งมาซาดาสร้างขึ้นระหว่าง 37 ถึง 31 ก่อนคริสตศักราช โดยพระเจ้าเฮโรดมหาราช กษัตริย์โรมันแห่งยูเดีย และได้ใช้ป้อมปราการแห่งนี้ให้เป็นที่หลบภัยของตนเอง โดยภายในมีกำแพงล้อมรอบ โกดังเก็บน้ำขนาดใหญ่ ค่ายทหาร พระราชวังและคลังอาวุธประมาณ 75 ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์พระเจ้าเฮโรดมหาราช กลุ่มกบฏชาวยิวที่ต่อต้านชาวโรมันได้เข้ายึดครองป้อมปราการแห่งนี้ จักรพรรดินีโรมอบหมายให้เวสปาเซียนและไททัสบุตรชายของเขาทำการปราบกบฏ กองทัพโรมันได้นำกำลังเข้าปิดล้อมบริเวณยอดหน้าผาของมาซาดาซึ่งกลุ่มกบฏชาวยิวกลุ่มสุดท้ายได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางซากป้อมปราการในพระราชวังของกษัตริย์เฮโรด
ในศตวรรษที่ 20 Masada กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญสำหรับรัฐยิวสมัยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นสถานที่แสวงบุญสำหรับขบวนการเยาวชนและสมาชิกกลุ่มฮากานาห์ ในปี 1949 เมื่อสิ้นสุดสงครามประกาศอิสรภาพ ธงของอิสราเอลถูกยกขึ้นในการประชุมสุดยอดของมาซาดา สถานที่แห่งนี้ได้รับการตรวจสอบและสำรวจโดย Shemariyahu Gutman และในปี 1963 การขุดค้นเต็มรูปแบบเริ่มขึ้นภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Yigael Yadin โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาสาสมัครจากทั่วทุกมุมโลก
‘ป้อมมาซาดาได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2001’

The Great Fortresses around the World #10 ป้อมราสนอฟ Rasnov Fortress, โรมาเนีย – ป้อมปราการแซ็กซอนสมัยศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บนยอดเขาหินในเทือกเขาคาร์พาเทียน ซึ่งอยู่เหนือเมืองราสนอฟ 650 ฟุต ป้อมปราการนี้สร้างขึ้นโดยอัศวินทูโทนิกเพื่อป้องกันพวกทาร์ทาร์ หรือ มองโกล ที่รุกรานเข้ามา และต่อมาได้ขยายใหญ่ขึ้นโดยชาวแซกซอน
ป้อมราสนอฟตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่เชื่อมระหว่างทรานซิลเวเนียและวาลาเคีย แตกต่างจากป้อมปราการแซกซอนอื่นๆ ตรงที่ได้รับการออกแบบให้เป็นสถานที่หลบภัยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้จึงมีบ้านอย่างน้อย 30 หลังโรงเรียนโบสถ์และอาคารอื่นๆ มากกว่าหมู่บ้านทั่วๆ ไป ระบบป้องกันรวมถึงหอคอยเก้าแห่ง ป้อมปราการสองแห่ง และสะพานชัก ป้อมปราการล้อมรอบด้วยเนินสูง 500 ฟุตทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก
ตามตำนานท้องถิ่นกล่าวว่านักโทษชาวออตโตมันสองคนถูกบังคับให้ขุดบ่อน้ำผ่านหินแข็งใจกลางป้อมปราการ พวกเขาได้รับคำสัญญาว่าจะให้อิสรภาพเมื่อบ่อสร้างเสร็จ การทำงานบนบ่อน้ำลึก 470 ฟุตเริ่มขึ้นในปี 1623 และใช้เวลา 17 ปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ และผู้คนไม่จำเป็นต้องออกไปนอกประตูป้อมเลยในระหว่างการถูกปิดล้อม
การปิดล้อมป้อมรานอฟ ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1690 ระหว่างการรุกรานของออตโตมันครั้งสุดท้ายที่ทรานซิลเวเนีย ป้อมรานอฟได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ในปี 1718 และได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในปีถัดไป ความเสียหายครั้งใหญ่ครั้งต่อมาเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากแผ่นดินไหวในปี 1802 ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่หลบภัยครั้งสุดท้ายในช่วงการปฏิวัติในปี 1848 ป้อมรานอฟถูกใช้งานจนถึงปี 1850 และถูกทิ้งร้างหลังจากนั้น
ปัจจุบันป้อมปราการรานอฟได้รับการบูรณะให้กลับมารุ่งเรืองดั่งในยุคอดีต และเฝ้ารอคอยนักเดินทางมาเยือนป้อมโบราณแห่งนี้อีกครั้ง

The Great Fortresses around the World #11 ป้อมนิซวา Nizwa Fort, โอมาน – นิซวาเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโอมาน และยังเป็นเมืองหลวงของโอมานในศตวรรษที่ 6 และ 7 ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นอินทผาลัมอันเขียวชอุ่มทางตอนเหนือของประเทศ ใช้เวลาสร้างถึง 12 ปี ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าศาสนาการศึกษาและศิลปะ บริเวณที่ตั้งของเมืองอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งเป็นจุดตัดของเส้นทางที่เชื่อมระหว่างภายในกับมัสกัตและด้านล่างของซุฟาร์ Dhofar ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
ป้อมนิซวาเป็นปราสาทและป้อมปราการโบราณในภูมิภาคอาดาคิลิยะห์ มีลักษณะกลมใหญ่เป็นเอกลักษณ์ ความสูงถึง 24 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก 43 เมตรและเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน 36 เมตร ป้อมนิซวามีลักษณะเฉพาะต่างจากในป้อมอื่น ๆ ในโอมานเนื่องจากรูปทรงกระบอกของหอคอยหลักซึ่งเป็นหอคอยที่ใหญ่ที่สุดในป้อมในโอมาน ป้อมนิซวามีหลุมเจ็ดแห่ง เรือนจำหลายแห่ง หอคอยหลักมีกลไกการป้องกันที่โอมานเคยใช้ในอดีต เช่น หลุมพรางกับดัก และช่องเปิดหลายช่องสำหรับประจำการของนักสู้ที่ปกป้องป้อม
ป้อมนิซวาสร้างโดยอิหม่ามสุลต่านบินซาอิฟอัลยาริบีในกลางศตวรรษที่สิบเจ็ด อิหม่ามคนนี้เองที่ขับไล่ชาวโปรตุเกสออกจากโอมาน

The Great Fortresses around the World #12 ป้อมเอลมอร์โร El Morro Fort, เปอร์โตริโก – สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ก่อตั้งขึ้นในปี 1521 โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปน ป้อมปราการแห่งแรก La Fortaleza (The Fortress) เริ่มก่อสร้างในปี 1533 เดิมถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีทางทะเลและสามารถต้านทานสงครามโลกสองครั้งและการต่อสู้อื่น ๆ อีกมากมาย และปัจจุบันทำหน้าที่เป็นคฤหาสน์ของผู้ว่าการรัฐ
Castillo San Felipe del Morro หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ป้อมเอลมอร์โร เป็นป้อมที่สองที่สร้างขึ้นบนเกาะเล็กๆ ซึ่งปัจจุบันคือ Old San Juan และ Puerta de Tierra การก่อสร้างของป้อมเอลมอร์โร เริ่มขึ้นในปี 1539-1790
ในปี 1898 สืบเนื่องจากสงครามสเปน – อเมริกาเกาะได้เปลี่ยนมือจากสเปนเป็นสหรัฐอเมริกา ป้อมเอลมอร์โรถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของป้อมบรูก Fort Brooke และใช้เป็นที่ตั้งทางทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง ในปี 1961 กองทัพสหรัฐฯได้ปลดประจำการเอลมอร์โรและส่งต่อไปยังกรมอุทยานแห่งชาติเพื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์
ป้อมเอลมอร์โรและเมืองเก่าซานฮวนที่มีกำแพงล้อมรอบได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1983

The Great Fortresses around the World #13 ป้อมปราการโอยันไทตำโบ Ollantaytambo, เปรู – เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสำรวจป้อมปราการที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของวัฒนธรรมอินคา ค้นพบประวัติศาสตร์ที่ซ่อนซากปรักหักพังของป้อมปราการศิลา ‘โอยันไทตำโบ’ กับเราและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา ‘Sacred Valley of the Incas’
โอยันไทตำโบเป็นที่ดินแดนของจักรพรรดิปาชาคุติ (Emperor Pachacuti) แห่งจักรวรรดิอินคา ซึ่งเป็นดินแดนอันเป็นที่ตั้งของป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 15 แห่งนี้ที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อเดียวกันเป็นสถานที่เกิดการสู้รบที่มีชื่อเสียง และมันเป็นการต่อสู้เพียงครั้งเดียวที่อินคาชนะกองทัพสเปนที่รุกรานได้สำเร็จ
ป้อมปราการโอยันไทตำโบ ยังได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ มาชูปิชู Machu Picchu ชาวพื้นเมืองเรียก ‘โอยันไทตำโบ’ ว่า ‘Ollanta’ ที่ซึ่งเป็นทั้งวัดและป้อมปราการที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในเปรู ซากปรักหักพังของป้อมปราการแห่งนี้ยังคงรักษาความลึกลับมาหลายศตวรรษ
เมื่อสเปนมาถึงในเทือกเขาแอนดีสในช่วงต้นยุค 1530 ซึ่งเป็นช่วงที่สเปนพิชิตเปรู Manco Inca Yupanqui ผู้นำการต่อต้านชาวอินคาใช้ที่นี่เป็นป้อมปราการ ต่อต้านกองทัพสเปน และสามารถขับไล่กองทัพสเปนได้ในปี 1536
อย่างไรก็ตามกองทัพสเปนก็ยังนำกองทัพเขามายึดเมืองและมีชัยชนะเหนือชาวอินคาได้สำเร็จในปีเดียวกัน

The Great Fortresses around the World #14 Alcazar of Toledo – “ป้อมปราการแห่งโทเลโด” ป้อมปราการหินที่ตั้งอยู่ในส่วนที่สูงแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่าของโทเลโด อาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีหอคอยสูง 4 ด้านตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของเมือง สร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่สามโดยจักรวรรดิโรมัน ป้อมปราการมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสเปน
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาอาคารนี้มีวัตถุประสงค์หลายประการรวมถึงใช้เป็นปราสาท ป้อมปราการ คุก กองบัญชาการทหาร และที่ประทับของกษัตริย์ ป้อมปราการแห่งโทเลโดได้รับการบูรณะภายใต้กษัตริย์อัลฟรองโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา และพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 10 แห่งกัสติยา
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ในปี 1545 ในขณะที่กษัตริย์ชาร์ลที่ 1 ปกครองจักรวรรดิสเปนและยังเป็นพระเจ้าชาร์ลที่ 5 จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้มอบหมายให้สถาปนิก Alonso de Covarrubias เปลี่ยนป้อมปราการให้เป็นที่อยู่อาศัย การดัดแปลงทั้งหมดนี้อธิบายได้ว่าเหตุใดป้อมปราการแห่งนี้จึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบผสมทั้งตัวอาคารแบบเรอเนสซองส์และมีซุ้มประตูแบบโรมัน
ในปี 1887 ป้อมปราการได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ซึ่งเริ่มขึ้นในห้องสมุดและลุกลามไปทั่วทั้งอาคารอย่างรวดเร็วและเกือบจะทำลายมันทั้งหมด
ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนในศตวรรษที่ 20 (1936-1939) ป้อมปราการแห่งโทเลโดถูกยึดครองโดยกองกำลังกบฏชาตินิยมฟรังโกและถูกโจมตีและทำลายโดยกองกำลังของพรรครีพับลิกันในที่มีชื่อเสียง หลังสงครามกลางเมืองการสร้างอาคารใหม่เริ่มขึ้นในปี 1940 จนกระทั่งเสร็จสิ้นในปลายทศวรรษ 1950
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของห้องสมุด Castilla La Mancha และพิพิธภัณฑ์กองทัพบก ห้องโถงจำนวนมากมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ของเมืองโทเลโด ยิ่งไปกว่านั้นประวัติศาสตร์การทหารของมันยังคงสะท้อนให้เห็นด้วยรูกระสุนจากสงครามกลางเมืองที่ฝังอยู่ในกำแพงอัลคาซาร์

The Great Fortresses around the World #15 The Baba Vida Fortress – ป้อมปราการ Babini Vidini Kuli หรือที่เรียกว่าป้อมบาบา วีดา ‘Baba Vida Fortress’ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ ทางตอนเหนือของเมืองวิดิน สร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 10 บนยอดซากปรักหักพังของหอสังเกตการณ์โรมันแห่งโบโนเนียซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1 การก่อสร้างปราสาทในยุคกลางเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 10 แต่ในช่วงจักรวรรดิบัลแกเรียที่สอง (ปลายศตวรรษที่ 12 – 14) ได้มีการก่อสร้างขึ้นอีกครั้ง กษัตริย์บัลแกเรียองค์สุดท้ายก่อนการล่มสลายของบัลแกเรียภายใต้การปกครองของออตโตมันและจักรพรรดิ์ ซาร์ อีวาน สรัตซิเมียร์ (1324–1397) เคยอาศัยอยู่ในป้อมปราการแห่งนี้
ในช่วงการปกครองของออตโตมันป้อมปราการใช้เป็นโกดังเก็บอาหาร เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ และคุก
ป้อมบาบา วีดาเป็นหนึ่งในป้อมปราการในยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในบัลแกเรีย ด้วยเหตุนี้จึงมักไม่ได้รับเลือกให้เป็นฉากสำหรับถ่ายภาพยนตร์ โรงละคร ในช่วงฤดูร้อนของวาดินมักจะมีการแสดงคอนเสิร์ตการแสดงละครและการแสดงอื่นๆ ภายในป้อมปราการ
ตลอดระยะเวลาที่ดำรงอยู่ป้อมปราการบาบา วีดา ถูกสร้างขึ้นและบูรณะใหม่หลายต่อหลายครั้งโดยมีองค์ประกอบในอดีตปรากฏให้เห็นตลอด ปัจจุบันสถานที่และพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการบูรณะแห่งนี้มีลานหลักล้อมรอบด้วยกำแพงด้านในและด้านนอกรวมทั้งหอคอยสี่แห่ง
ป้อมปราการบาบา วีดา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในปราสาทยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในบัลแกเรีย

