เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

วันเสาร์

09.00-13.00 น.

เราช่วยคุณได้

@oneworldtour

Travel License : 11/05298

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

Portugal เปิดประตูสู่โปรตุเกส

Portugal เปิดประตูสู่โปรตุเกส

03

Nov

โปรตุเกส

Portugal เปิดประตูสู่โปรตุเกส

Portugal ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาดินแดนแห่งนี้ตกเป็นอาณานิคมของหลายชนเผ่า
Portugal ผ่านอารยธรรมที่แตกต่างกันไปอย่างต่อเนื่องทั้งไอบีเรีย เซลต์ ฟีนีเชีย คาร์เทจ กรีก โรมัน และ อารยธรรมมัวร์ หรือ อาหรับ อาณาจักรที่เคยยากจนแห่งนี้ร่ำรวยขึ้นจากการล่าอาณานิคมและเป็นมหาอำนาจแห่งค้าขาย ในศตวรรษที่ 15 โปรตุเกสเป็นผู้นำโลกในการสำรวจเส้นทางทะเลไปยังอินเดีย เจ้าชายแห่งราชวงศ์โปรตุเกสแล่นเรืออ้อมแอฟริกาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยุโรป และเป็นผู้ค้นพบบราซิลจนกลายกลายเป็นอาณานิคมที่ร่ำรวยที่สุดของ Portugal

ดินแดนนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคาบสมุทรไอบีเรียทางตะวันตกเฉียงใต้ของยุโรปซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจสูงสุดของทวีปยุโรป ด้วยความคล้ายคลึงกันทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปเหนือและเมดิเตอร์เรเนียน มีเทือกเขา Serra da Estrela หรือ “Star Mountain Range” เป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในกลุ่มโปรตุเกส (1,991 เมตร)

เนื่องจากประเทศนี้มีความหลากหลายทางภูมิทัศน์ที่โดดเด่น ชายฝั่งทางตอนเหนือที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ไปจนถึงภูเขาหินที่งดงาม ขณะที่ทางใต้ของประเทศมีความอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำ Tagus และ Mondego

Portugal เป็นหนึ่งในประเทศในยุโรปที่อบอุ่นที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ประมาณ 15 ° C ทางตอนเหนือ และ 18 ° C ทางตอนใต้ หิมะตกถือเป็นเรื่องปกติในฤดูหนาวในพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือแต่จะละลายอย่างรวดเร็วเมื่อหมดฤดูกาล เหมาะกับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนในคาบสมุทรแอตแลนติกแห่งนี้

เวียนา ดู กัชเตลู (Viana do Castelo)
ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เมกกะแห่งสถาปัตยกรรม’ (Mecca of Architecture)  เมืองที่อยู่ระหว่างทะเล แม่น้ำ และภูเขาแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำลิมา ที่ล้อมรอบด้วยเนินเขาเขียวชอุ่มของเทือกเขา ‘Monte de Santa Luzia’ ทิวทัศน์ที่ตัดกันนี้กับขอบฟ้าและหาดทรายละเอียดริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ที่นี่คือหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดทางตอนเหนือของ Portugal เมื่อเราเดินไปในตรอกเล็กๆ เข้าสู่ถนนประวัติศาสตร์ของเมืองผ่านแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์, เรอเนสซองส์ และบาโรก ไม่ว่าเราจะเดินไปตามถนนใดในเมืองเก่าเราจะกลับมาที่ Praça da República ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองเสมอ ที่นี่เราจะได้พบกับน้ำพุแบบเรอเนสซองส์ประดับลวดลายแบบมานูเอลไลน์ และอาคาร Misericórdia ในศตวรรษที่ 16 รวมถึง Paços do Concelho ‘ศาลาว่าการเมืองเก่า’ ที่ประดับด้วยซุ้มแบบโกธิกแต่มีลวดลายแบบเรอเนสซองส์ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิหารแบบโรมาเนสก์ ‘Igreja Matriz’ เป็นอดีตมัสยิดของพวกมัวร์ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์หลังการกอบกู้ประเทศโดยชาวคริสต์ในศตวรรษที่ 13 จากตัวอาคารโบสถ์แบบโรมาเนสก์ผสมผสานระหว่างอาหรับ และโกธิคจนเกิดงานสถาปัตยกรรมที่เคร่งขรึมและงดงาม   

บรากา Braga
เมืองที่มีชีวิตชีวาและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ’ ศูนย์กลางของโปรตุเกสเหนือ สถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ของเมืองทำให้นึกถึงสมัยโบราณได้อย่างชัดเจน ทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหาร และอาคารเก่าแก่มากมาย เมืองที่สง่างามแห่งนี้เต็มไปด้วยตรอกแคบๆ แบบโบราณ พลาซ่าและโบสถ์สไตล์บาโรกที่สวยงาม การตีระฆังอย่างต่อเนื่องเป็นการเตือนความจำของบรากาที่มีต่อโลกแห่งจิตวิญญาณในยุคเก่า ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองคือพลาซ่าขนาดใหญ่ ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ ‘มหาวิหารบรากา’ Santa Maria de Braga เป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรไอบีเรีย เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 11 และสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันมากโดยผสมผสานลักษณะแบบโกธิค มานูเอลไลน์ และบาร็อค รวมถึงอาคารเก่าแก่หลายแห่ง เราสามารถค้นหาทุกสิ่งที่คุณต้องการได้ที่นี่ทั้งร้านกาแฟที่มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ ร้านบูติกและร้านอาหารชั้นเลิศที่ตกแต่งอย่างสวยงาม

เมืองกีมาไรช์ Guimarães
ถือเป็นบ้านเกิดของโปรตุเกส เนื่องจากพระเจ้าอฟอนโซที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Afonso Henriques) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกสเกิดที่นี่ นี่คือหนึ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในโปรตุเกสก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 4 และกลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของโปรตุเกสในศตวรรษที่ 12 ศูนย์ประวัติศาสตร์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

รูปแบบอาคารที่หลากหลายซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเฉพาะของสถาปัตยกรรมโปรตุเกสตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึง 19 ผ่านการใช้วัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์อยู่ภายในกำแพงโบราณที่ต่อเนื่องไปยังเมืองตอนบนระหว่างพระราชวังดยุกแห่งบรากังซา ไปจนถึงปราสาทที่อยู่ด้านบน โบสถ์โรมันแห่งเอสมิเกล และสุดท้ายปราสาทซึ่งมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 10 

เมืองนี้ยังคงมีมรดกทางวัฒนธรรมที่กลมกลืน และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้ชัดในระเบียงเหล็กและระเบียงหินแกรนิตที่สง่างาม และเสาเฉลียง คฤหาสน์ ซุ้มประตูที่เชื่อมต่อกับถนนแคบๆ แผ่นพื้นปูเรียบตามกาลเวลา ชั่วขณะหนึ่งเราอาจจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมยุคกลางท่ามกลางบ้านเรือนของขุนนางโบราณ กีมาไรช์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกและเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี 2012 ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สองรางวัลสำหรับเมืองนี้ 

อามารังติ (Amarante)
เมืองชนบทในฝันแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโปรตุเกส เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้โดดเด่นด้วยบ้านที่มีระเบียงถนนที่คดเคี้ยวและไร่องุ่นที่รายล้อม อดีตเคยเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของชาวโรมัน มีสะพานโค้งที่โดดเด่นอย่าง สะพานเซนต์กอนซาโล ‘Ponte
São Gonçalo’ สร้างขึ้นโดยชาวโรมันเพื่อเชื่อมเมืองกับบรากา และกิมาไรส์ เป็นจุดที่เกิดการต่อต้านอย่างกล้าหาญของชาวเมืองต่อกองของนโปเลียนที่บุกโปรตุเกสในปี 1809 ต่อมามีการสร้างใหม่สไตล์บาโรกและนีโอคลาสสิกในตอนท้ายของศตวรรษที่ 18

เมื่อเราเดินข้ามสะพานแห่งนี้จะรู้สึกเหมือนถูกส่งตัวย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาแห่งการต่อสู่ จากจุดเริ่มต้นของแต่ละด้านมีแผ่นป้ายที่ระลึกซึ่งยังคงได้ยินเสียงสะท้อนของการต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศสตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สะพานหินทอดข้ามแม่น้ำ Tâmega ข้างอารามยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเดียวกัน โบสถ์เซนต์กอนซาโล Saint Gonçalo โบสถ์เรอเนสซองส์ หน้าจั่วสไตล์บาโรกอันงดงาม โบสถ์เก่าแก่มีอายุย้อนไปถึงปี 1540 ในโบสถ์ทางด้านซ้ายคุณจะพบหลุมฝังศพของนักบุญกอนซาโล  ‘นักบุญวาเลนไทน์แห่งโปรตุเกส’ และมักจะมีคนโสดหลายคนมาแสวงบุญที่นี่โดยหวังว่าจะได้พบกับรักแท้

เมืองแห่งสปา
หลายศตวรรษที่ผ่านมาเมือง ‘ชาเวส’ Chaves ได้ผ่านการต่อสู้จากชาวโรมัน ชาวฝรั่งเศสในช่วงสงครามคาบสมุทร และผู้รุกรานชาวสเปนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่บ่อน้ำพุร้อนและแหล่งสะสมทองคำในบริเวณใกล้เคียงก็ช่วยสนับสนุนให้ชาวโรมันสร้างฐานที่มั่นแห่งนี้สำคัญได้สำเร็จในปีค.ศ.78

ในขณะที่จักรพรรดิ Vespasiano จักรพรรดิผู้สร้าง โคลอสเซียม Colosseo ตั้งชื่อเมืองว่า Aquae Flaviae หรือเมืองแห่งน้ำพุร้อน ชาเวสตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของ Portugal ห่างจากสเปนเพียง 10 กิโลเมตร สะพานหินโบราณซึ่งยังคงมีจารึกภาษาละตินที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.100 แม้ว่าจะได้รับการบูรณซ่อมแซมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เสาสองต้นที่สร้างโดยจักรพรรดิทราจันยังคงตั้งตระหง่านดังเดิม

ปัจจุบัน ชาเวส เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาซึ่งมีชื่อเสียงในด้านสปา ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ และแฮมรมควัน (Presunto) ที่แสนอร่อย เมื่อยืนอยู่บนหอคอยของปราสาทชาเวส Chaves Castle ปราสาทในศตวรรษที่ 14 เราสามารถมองเห็นจัตุรัสยุคกลางของเมือง Praça de Camões ทางด้านทิศใต้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ประจำเมืองซึ่งมีประตูทางเข้าสไตล์โรมันอันงดงาม

เมือง วิลลา รีอัล (Vila Real)
เมืองเก่าซึ่งตั้งอยู่ในทะเลแห่งความเงียบสงบในชนบททางตอนเหนือของโปรตุเกสอันเป็นจุดบรรจบกันของแม่น้ำ Corgo และ Cabril ก่อตั้งขึ้นในปี 1272 เป็นศูนย์กลางเกษตรกรรมที่เจริญรุ่งเรืองตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่มีภูเขาล้อมรอบ นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ ดีโอโก้ เคา Diogo Cão ซึ่งเป็นนักเดินเรือคนแรกที่ไปถึงปากแม่น้ำคองโกในปีค.ศ.1482

วิลลา รีอัลเป็นเมืองเล็กๆ ที่หรูหราที่ประดับประดาด้วยบ้านของชนชั้นสูงจำนวนมาก มีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจหลายแห่ง อย่างโบสถ์ พระราชวัง และอาคารเก่าบางส่วนของเมืองล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่นที่ผลิตไวน์แดง

พระราชวังพระราชวังเมเทียส ‘Palacio do Mateus’ ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบสไตล์บาร็อคที่ดีที่สุดในยุโรปd ซึ่งใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของราชวงศ์โปรตุเกสในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ด้วยอาคารสไตล์บาร็อคที่โดดเด่นบันไดลูกกรงที่หรูหราประดับด้วยรูปแกะสลักหินแกรนิตบนชั้นดาดฟ้าและสวนที่มีอุโมงค์ต้นซีดาร์สูงสามสิบห้าเมตรที่น่าประทับใจ การตกแต่งภายในประกอบด้วยเพดานไม้แกะสลักอย่างวิจิตรเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเงินเครื่องเคลือบจากหลายยุคสมัยภาพวาดในศตวรรษที่ 17 และ 18

โบสถ์ Igreja de São Pedro โบสถ์ใหญ่สไตล์บาโรกด้วยที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องจากศตวรรษที่ 17  เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

วิลา โด คันด์ Vila do Conde
เมืองชายฝั่งที่ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำ Ave เมืองเก่าที่เงียบสงบแห่งนี้มีชายหาดและอาคารทันสมัยและวิลล่ายุคเก่าที่เรียงรายในศูนย์กลางเมืองประวัติศาสตร์ของเมืองจึงทำให้วิลา โด คันด์นั้นคุ้มค่าแก่การเยี่ยมชม เมื่อข้ามสะพานเก่าเข้าสู่ตัวเมืองจะสังเกตเห็นอาคารสไตล์บาโรกที่สูงตระหง่านของ Convento de Santa Clara อารามเก่าแก่ก่อตั้งขึ้นในปี 1318 ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเรือนจำ

นอกเหนือจากอาคารหลักแล้วยังมีโบสถ์สไตล์โกธิคที่สวยงาม กำแพงหินแกรนิตของอารามไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นการป้องกันจากผู้รุกราน ด้านหลังของอารามเป็นท่อระบายน้ำ‘Old Aqueduct’ สมัยศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ถัดจากคอนแวนต์มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองไปตามถนนที่ปูด้วยหินแกรนิตคดเคี้ยวไปยังจัตุรัส Praça da República เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Igreja Matriz ซึ่งเป็นอาคารหินแกรนิตที่มีการแกะสลักลวดลายของสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ในศตวรรษที่ 16

จากเมืองเก่าไปยังชายฝั่งบริเวณปากแม่น้ำคือ Nossa Senhora da Guia โบสถ์สีขาวเล็กๆ ที่มีโดมดูธรรมดาๆ แต่มีการตกแต่งประดับประดาเพดานด้วยการปิดทองและมีแท่นบูชาหินอ่อนดูหรูหรา ริมชายหาดจากโบสถ์คือ ‘เซา โจเอา บัปติสตา’ São João Baptista ปราการห้าเหลี่ยมสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ดูเหมือนจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นทรายเคยทำหน้าที่ปกป้องอู่ต่อเรือและท่าเรือที่ปากแม่น้ำ Ave จากโจรสลัดและผู้รุกราน หลังจากเลิกใช้งานไปหลายปีมีการตัดสินใจเปลี่ยนป้อมปราการให้เป็นโรงแรมหรูในช่วงปี 1980

ปอร์โต Porto
เมืองท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปที่มีความมั่งคั่งของมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม และพอร์ทไวน์ Port Wine อันโด่งดังไปทั่วโลก ในปี 1996 ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของปอร์โตได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก เมืองนี้สร้างขึ้นบนฝั่งเหนือของแม่น้ำโดรู Douro ที่สูงชันและแผ่กระจายไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก

จุดที่น่าสนใจส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างย่าน Ribeira ศูนย์กลางการค้าของเมืองโดยมีเรือใบใหญ่จอดเทียบท่าริมแม่น้ำ และ Avenida dos Aliados ย่านใจกลางเมืองที่โดดเด่นด้วยศาลากลาง (Camara Municipal) ถนนที่ปูด้วยหินขนาบข้างด้วยอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกอันหรูหรา ภายในบริเวณนี้ตรอกซอกซอยยุคกลางคล้ายกับเขาวงกต อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และนีโอคลาสสิก ทางตะวันตกของ Ribeira คือ Alfandega อาคารศุลกากรเก่าแก่ของเมือง บริเวณนี้อาจเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Casa do Infante (หรือ Casa da Alfândega Velha) คฤหาสน์สมัยศตวรรษที่ 14 ที่สวยงามน่าประทับใจ

อาคาร Palácio da Bolsa สำนักงานใหญ่ของสมาคมการค้าปอร์โต ในศตวรรษที่ 19 ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค สถาปัตยกรรมแบบทัสคานี และนีโอพาเลเดียนของอังกฤษ ปอร์โตมีเสน่ห์เป็นพิเศษสำหรับทุกคนที่มาเยือนเมืองนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับผู้ที่กลับมาเยี่ยมชมครั้งที่สอง …มีคำกล่าวว่ามีเมืองที่เหลืออยู่ไม่กี่เมืองในยุโรปที่สามารถสร้าง “ความยิ่งใหญ่ที่จางหาย” ในระดับเดียวกับเมืองปอร์โตได้

วีเซอู (Viseu)
เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกวีเซอูออกจากประวัติศาสตร์ของประเทศ ด้วยต้นกำเนิดในวัฒนธรรมคาสโตรไอบีเรียในยุคแรก ประวัติศาสตร์ของวีเซอูครอบคลุมหลายพันปี ในช่วงที่โรมันยึดครองไอบีเรีย Viriathus หัวหน้ากลุ่มกบฏของชาว Lusitanians (บรรพบุรุษของโปรตุเกส) ที่นำกำลังต่อต้านทหารโรมันอาศัยอยู่ในวีเซอู

หลังจากการปกครองของ Visigoth เป็นเวลานานวีเซอูถูกยึดครองโดยพวกมัวร์ ในปี 716 วีเซอูกลับสู่การควบคุมของชาวคริสต์ในปี ค.ศ.1058 โดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งเลออนได้รับชัยชนะเหนือพวกมัวร์ในปีค.ศ.1123 ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของ ‘วาสโก เฟอร์นันเดส’ จิตรกรชาวโปรตุเกส ซึ่งเป็นบุคคลในตำนานของศิลปะโปรตุเกสของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาโปรตุเกส มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 16 

วีเซอูเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสมบัติทางศิลปะโบสถ์เก่าแก่และวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของงานฝีมือในท้องถิ่น ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์และทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ บริเวณนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านชีสชั้นดีและเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ Dão ด้วยความที่ไร่องุ่นส่วนใหญ่มีที่มีอายุอย่างน้อยครึ่งศตวรรษการ ผลิตไวน์จึงเป็นประเพณีที่ฝังรากลึกที่นี่

กัวดา (Guarda)
เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีความสูงสูงสุดในโปรตุเกส (ระดับความสูง 1,056 เมตร) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Serra da Estrela (ภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส) กัวดามีบทบาทสำคัญในฐานะป้อมปราการเนื่องจากอยู่ใกล้กับชายแดนสเปน

ปัจจุบันศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของกัวดาคือจัตุรัสเมืองเก่าที่มีอาคารร้านค้าสมัยศตวรรษที่ 16 ถนนแคบๆ แผ่กระจายออกไปจากที่นี่มีพระราชวังหินแกรนิต และบ้านเก่าที่มีหน้าต่างสไตล์โกธิคและการ์กอยในชายคา ศูนย์ประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้รับการปกป้องด้วยกำแพงเมือง และหอคอยยุคกลางที่เกือบจะสมบูรณ์ ที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน มหาวิหาร Sé da Guarda Guarda นี่คือวิหารที่สูงใหญ่และโอ่อ่ามีลักษณะของป้อมปราการที่มีหอคอยอันยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ศรัทธา และ อาณาเขต

หากภายนอกทำให้เราประทับใจด้วยการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจและการตกแต่งแบบโกธิกแล้ว การตกแต่งภายในก็น่าแปลกใจสำหรับความสูงของโบสถ์และแท่นบูชาหินแกะสลักขนาดมหึมา ถัดจากกำแพงคือ Judiaria (ย่านชาวยิว) อาคารส่วนใหญ่สร้างขึ้นในยุคกลางโดยรักษาสัญลักษณ์ที่แกะสลักด้วยหินและสถาปัตยกรรมดั้งเดิม

โกอิมบรา (Coimbra)
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมอนเดโก เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกส (เคยเป็นชุมชนที่สำคัญในสมัยโรมัน) เป็นเมืองหลวงในยุคกลางของโปรตุเกสมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ (ตั้งแต่ปี 1139-1256) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่ตั้งซ้อนกันอย่างสูงชันสร้างขึ้นในสมัยของชาวมัวร์ และมีบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมมีถนนที่ปูด้วยหินสีเข้มและมหาวิหารขนาดใหญ่ เมืองนี้ได้รวบรวมมรดกทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมไว้มากมาย และ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1290 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก

โกอิมบาเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ บริเวณริมแม่น้ำ “Baixa” คือย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านการค้าของเมืองที่มีร้านกาแฟร้านขนมร้านอาหารร้านบูติกและร้านค้าอื่นๆ ที่นำไปสู่ Comercio Square ที่มุมหนึ่งของจัตุรัสคือ โบสถ์ Church of São Tiago สมัยศตวรรษที่ 12 แต่ภายในมีการตกแต่งแบบรอกโคโค่ อีกจัตุรัสหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงมีอารามซานตาครูซอันเก่าแก่ซึ่งมีสุสานของกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกส ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1131 ภายในเป็นธรรมาสน์อันหรูหราและสุสานที่วิจิตรบรรจงของกษัตริย์ตลอดจนอารามที่น่าประทับใจในสไตล์มานูเอลไลน์

คาสตีโล บรองโค (Castelo Branco)
ไม่ค่อยมีใครรู้จักประวัติศาสตร์ยุคแรกของ Castelo Branco นอกเหนือจากเอกสารเมื่อปี 1182 ซึ่งกล่าวถึงการบริจาคดินแดนที่เมืองนี้ให้เป็นที่ตั้งปราสาทของอัศวินเทมพลา ‘Knights Templar’ คาสตีโล บรองโคเป็นเมืองหน้าด่านก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 13 ห่างจากชายแดนสเปนเพียง 20 กิโลเมตร สงครามเป็นวิถีชีวิตมานานหลายร้อยปีและเมืองนี้ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าในศตวรรษที่ 17 และ 18 คาสตีโล

บรองโค เป็นที่ตั้งของพระราชวัง และ Episcopal Gardens ‘สวนของบิชอป’ ซึ่งสร้างโดยบิชอปแห่งการ์ดา Joao de Mendonca ในศตวรรษ 18 และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสวนบาร็อคที่สวยงามที่สุดในโปรตุเกส ประดับด้วยน้ำพุและบันไดอันประณีตเป็นที่ตั้งของรูปปั้นหินแกรนิตที่แปลกและน่าอัศจรรย์ ศูนย์กลางประวัติศาสตร์บนถนนเก่าแก่ที่มีขุมทรัพย์ทางสถาปัตยกรรมในรูปทรงของหน้าอาคารโบราณในสไตล์มานูเอลไลน์ เมืองนี้ได้รับการสู้รบบ่อยครั้งในอดีตจนมีอนุสรณ์สถานโบราณไม่กี่แห่งที่หลงเหลืออยู่รวมถึงปราสาท ซึ่งตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพังที่โดดเด่นอยู่บนเนินเขา

หมู่บ้าน มอนซานโต (Monsanto)
คือหมู่บ้านหินแกรนิตที่มีเสน่ห์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะงอกขึ้นเองจากไหล่เขา ในปีค.ศ.1938 มีการค้นพบหลักฐานการยึดครองของมนุษย์ย้อนหลังไปถึงยุคหินรวมทั้งเศษซากของการยึดครองของโรมัน วิซิกอธ และมัวร์  มอนซานโตได้รับการขนานนามว่าเป็น ” “เมืองโปรตุเกสในโปรตุเกส” ตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านมอนซานโตก็ได้รับการปกป้องโดยการสร้างกฎระเบียบที่ทำให้หมู่บ้านยังคงรักษาเสน่ห์ของหมู่บ้านแบบคลาสสิกไว้ได้กระท่อมหินแกรนิตท่ามกลางโขดหินขนาดยักษ์ซึ่งหลายแห่งประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของบ้านผนังหรือขั้นบันไดในรูปแบบที่งดงาม ถนนสายเล็ก ๆ กว้างพอสำหรับลา คดเคี้ยวไปตามกระท่อมหินหลังคาสีแดงที่สูงชันในอดีตที่ซ่อนตัวอยู่กับก้อนหินมอส หมู่บ้านมอนซานโตตั้งอยู่บนยอดกเขาที่เรียกว่า Mons Sanctus สูงเกือบ 800 เมตรที่มองเห็นทิวทัศน์ชนบทของโปรตุเกส เมื่อเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินในไม่ช้าก็จะเห็นได้ชัดว่า หมู่บ้านมอนซานโตเป็นดินแดนเล็กๆ ของโปรตุเกสที่ผู้มาเยือนจะต้องประทับใจกับกระท่อมที่สร้างด้วยหินที่เก๋ไก๋กว่าแบบโรมันในยุคกลางหรือมานูเอลไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ก็เพราะนี่คือหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในคาบสมุทรไอบีเรียนั่นเอง

ไลเรีย (Leiria)
จากเมือง Collippo ของโรมันที่ต่อมาถูกครอบครองโดยพวกมัวร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 และหลังจากการยึดคืนในปี 1135 โดยกษัตริย์ Afonso I โบสถ์แบบโรมันถูกสร้างขึ้นซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับปราสาทยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลิส กระจายตัวบนเนินเขา และจากจุดใดจุดหนึ่งคุณสามารถมองเห็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือย่านประวัติศาสตร์ของเมืองซึ่งเป็นบริเวณถนนที่ปูด้วยหินสวนสวย จัตุรัสเก่าแก่เรียงรายไปด้วยที่อยู่อาศัยสมัยศตวรรษที่ 16 และ 17 บนเนินเขาที่มีป้อมปราการที่สร้างขึ้นตามคำสั่งของกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกส ‘Dom Afonso Henriques’ เมื่อเวลาผ่านไปไลเรียมีความสำคัญมากขึ้นปราสาทก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากป้อมปราการทหารเป็นพระราชวังโดยได้รับการปรับปรุงหลายอย่าง ระเบียงซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของปราสาทไลเรีย

ในศตวรรษที่ 19 การรุกรานของฝรั่งเศสทำให้ป้อมปราการเสียหายอย่างมาก การบูรณะหลายโครงการในเวลาต่อมาปราสาทยังคงรูปลักษณ์ของยุคกลางไว้อย่างมาก ภายในกำแพงเมืองยังมีอาราม Nossa Senhora da Penha ซึ่งสร้างขึ้นโดย King João I ในราวปี 1400 ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยพลับพลาสไตล์โกธิคที่สวยงามและตกแต่งด้วยลวดลายแบบมานูเอลไลน์
#Oneworldtour #Leiria #Portugal

จำนวนผู้เข้าชม 8 ครั้ง