
29
Oct
อเมริกา
Most Beautiful Places in the World – สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก
Most Beautiful Places in the World #31 – ‘เกรตแบร์ริเออร์รีฟ’ (The Great Barrier Reef, Australia)
หนึ่งในของขวัญจากธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของออสเตรเลีย เป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายและความงามบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ประกอบด้วยแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทอดยาวจากปลายแหลมยอร์กทางตอนเหนือของควีนส์แลนด์ไปจนถึงทางตอนใต้บันดาเบิร์ก
เกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นหนึ่งในระบบนิเวศทางธรรมชาติที่สมบูรณ์และซับซ้อนที่สุดในโลก มีปลามากกว่า 1,500 ชนิด ปะการังประมาณ 400 ชนิด หอย 4,000 ชนิด และนก 240 ชนิดรวมทั้ง ฟองน้ำ ดอกไม้ทะเล หนอนทะเล และสายพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น พะยูน หรือ “วัวทะเล” และเต่าสีเขียวขนาดใหญ่ซึ่งกำลังเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ ‘ไม่มีทรัพย์สินมรดกโลกอื่นใดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเช่นนี้’ ในฐานะที่เป็นระบบนิเวศแนวปะการังที่กว้างขวางที่สุดในโลก เกรตแบร์ริเออร์รีฟพื้นที่ที่โดดเด่นและมีความสำคัญระดับโลก ที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1981 ครอบคลุมพื้นที่ 348,000 ตารางกิโลเมตร
ภายในเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีแนวปะการังที่มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันประมาณ 2,500 แห่ง และเกาะต่างๆกว่า 900 เกาะตั้งแต่อ่าวเล็กๆ และอ่าวที่มีพืชพันธุ์ขนาดใหญ่ไปจนถึงเกาะในทวีปขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูมิประเทศและท้องทะเลเหล่านี้รวมกันเป็นทัศนียภาพทางทะเลที่งดงามที่สุดในโลก
ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกธรรมชาติ มีขนาดใหญ่กว่ากำแพงเมืองจีน และเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่มองเห็นได้จากอวกาศ

Most Beautiful Places in the World #32 – ‘หมู่เกาะแฟโร’ (Faroe Islands)
กลุ่มเกาะภูเขาไฟ 18 เกาะที่ปกครองตนเอง ซ่อนตัวอยู่ระหว่างไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์ที่ไม่ธรรมดาของหน้าผาที่สูงชัน ภูเขาสูง และแนวฟยอร์ดแคบๆ ตามแนวชายฝั่ง
ภาษาแฟโรมาจากภาษานอร์สเก่าซึ่งพูดโดยชาวนอร์เซเมนที่ตั้งรกรากบนเกาะเมื่อ 1200 ปีก่อน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 หมู่เกาะแฟโรเป็นที่อาศัยของพระชาวไอริช ชาวไวกิ้ง และฝูงแกะมากมาย ปัจจุบันมีประชากร 49,000 คน หมู่เกาะแฟโรเป็นประเทศที่ปกครองตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีรัฐสภา ธงชาติ ภาษาเป็นของตนเอง และอุตสาหกรรมประมงที่เฟื่องฟู
หลายศตวรรษของการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่กันส่งผลให้มีการอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่หล่อหลอมชีวิตในหมู่เกาะแฟโรมาจนถึงทุกวันนี้ การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมและสมัยใหม่เป็นลักษณะเฉพาะของสังคมชาวแฟโรซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่แข็งแกร่งของชุมชนท้องถิ่น
‘Saksun’ เป็นหมู่บ้านชนบทเล็กๆ เป็นจุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะ Streymoy ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ถนนคดเคี้ยวนำขึ้นไปบนภูเขาทางตอนเหนือและขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงที่สุด Slættaratindur (882 เมตร) บนเกาะเอสทูรอย (Esturoy Island) ไม่ไกลจากที่นี่จะเห็นกองหินสองก้อนที่เรียกว่า ‘Risin og Kellingin’ หมายถึง ยักษ์และแม่มด คือกองหินริมทะเล ที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นและลม อันเป็นที่มาของกับตำนานโบราณของชาวเกาะแฟโร
ตำนานนี้กล่าวถึงยักษ์และแม่มดจากไอซ์แลนด์หลงใหลในความงามของหมู่เกาะนี้และต้องการที่จะพาชาวแฟโรไปที่บ้านของพวกเขา พวกเขาพยายามดึงเกาะภูเขา Eiðiskollur ให้แยกออกโดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า เมื่อแสงแดดสัมผัสร่างพวกยักษ์จึงทำให้พวกมันกลายเป็นหินในทันที
หมู่บ้านชาวประมงที่มีหลังคาหญ้าตามแนวชายฝั่งที่เต็มไปด้วยหิน และนกพัฟฟินหลายพันตัวทำรังบนหน้าผาสูง น้ำตกมูลาฟอสเซอร์ (Mulafossur Waterfall) ที่คล้ายดั่งออกมาจากนวนิยายแฟนตาซีที่สายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาหินของเกาะเวการ์ (Vágar) ลงสู่มหาสมุทรเบื้องล่างโดยมีเนินเขาสีเขียวของหมู่บ้าน Gásadalur เป็นฉากหลังอาจเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของหมู่เกาะแห่งนี้

Most Beautiful Places in the World #33 – ‘เกาะกรีนแลนด์’ (Greenland)
กรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก เกาะนอกทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ที่มีอะไรมากกว่าธารน้ำแข็ง แม้ว่าธารน้ำแข็งจะงดงามมากก็ตาม ลองนึกถึงฟยอร์ดที่สวยงาม หมู่บ้านที่มีสีสัน ทุ่งเลี้ยงแกะ พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่น่าหลงใหล และแสงออโรร่าที่น่ามหัศจรรย์คล้ายเต้นระบำอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูหนาว
เกาะกรีนแลนด์อาจจะเรียกได้ว่าเป็นถิ่นทุรกันดารที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของโลก ดินแดนน้ำแข็งและหิมะอันห่างไกล ด้วยภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใครและการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ไวกิ้งและวัฒนธรรมร่วมสมัยของชาว ‘อินูอิต’ หรือ ‘เอสกิโม’
แม้จะมีขนาดใหญ่มาก แต่กรีนแลนด์มีประชากรประมาณ 57,000 คนเท่านั้น คนท้องถิ่นในส่วนนี้ของโลกเป็นมิตรกับทุกคน และเกือบ 25% ของชาวกรีนแลนด์อาศัยอยู่ใน Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์
สิ่งดึงดูดใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของกรีนแลนด์คือธารน้ำแข็งซึ่งเป็นดั่งแม่น้ำน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ไหลลงสู่ทะเล 80% ของเกาะถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งหนาตลอดทั้งปี ซึ่งแผ่กระจายไปกว่า 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร (เกือบ 700,000 ตารางไมล์) ธารน้ำแข็ง Sermeq Kujalleq อาจเป็นที่รู้จักมากที่สุดของกรีนแลนด์และเป็นธารน้ำแข็งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลก ในขณะเดียวกัน Russell Glacier ใกล้ Kangerlussuaq ก็คุ้มค่ากับการเยี่ยมชม
กรีนแลนด์มีฤดูกาลท่องเที่ยว 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิในกรีนแลนด์มีบริการเลื่อนสุนัขจำนวนมาก
ในเดือนมีนาคมและเมษายน เมืองหลวงของ Nuuk จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลหิมะ นอกจากนี้การแข่งขัน Arctic Circle Race ซึ่งเป็นการแข่งขันสกีข้ามประเทศที่ยากที่สุดในโลกจะจัดขึ้นที่ซิซิมิวท์ (Sisimiut) ในฤดูใบไม้ผลิ
ฤดูร้อนของเกาะกรีนแลนด์ (พฤษภาคม – กันยายน) มีการล่องเรือชมฟยอร์ด ล่องไปชมยังธารน้ำแข็งกลางทะเล
ฤดูหนาวในกรีนแลนด์เหมาะสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติของอาร์กติกอย่างแท้จริง ให้มาที่กรีนแลนด์ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เพลิดเพลินกับการนั่งเลื่อนสุนัขฮัสกี้ และยังสามารถขับสโนว์โมบิลในช่วงค่ำคืนที่มืดมิดพร้อมกับแสงเหนือ (Aurora Borealis) อันงดงาม

Most Beautiful Places in the World #34 – ‘เกาะสกาย’ (Isle of Skye, Scotland)
เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะหมู่เกาะอินเนอร์ เฮบริดีส (Inner Hebrides) นอกชายฝั่งตะวันตกของสกอตแลนด์ มีความยาว 50 ไมล์ และมีเมืองหลวงคือ ‘พอร์ทรี’ (Portree)
ตอนกลางทางใต้ของเกาะสกายเป็นที่ตั้งของเทือกเขา Cuillins ถือเป็นเทือกเขาที่น่าทึ่งที่สุดในสหราชอาณาจักร ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อกว่า 60 ล้านปีก่อน บริเวณสันเขาหลักเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สันเขา ‘Black Cuillin’ ที่ยอดหินขรุขระนี้มีความยาว 12 กม. ซึ่งมี Munros* ไม่น้อยกว่าสิบเอ็ดแห่ง และสันเขา Red Cuillin ทางตะวันออกของ Glen Sligachan
* (Munros เป็นภูเขาที่พบได้ทั่วสกอตแลนด์ สูงกว่า 3,000 ฟุต ทั่วทั้งสกอตแลนด์มี Munros ทั้งหมด 282 แห่ง)
ภูเขาหินฝั่ง Black Cuillin นั้นส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินแกบโบร (Gabbro) ประเภทหินอัคนีที่มีลักษณะเป็นหินสีเขียวเข้มถึงดำ โดยมียอดเขาแหลมจำนวนมาก ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ Sgurr Alasdair ประมาณ 3,255 ฟุต ในขณะที่เนินฝั่ง Red Cuillin ที่โค้งมนกว่านั้นเป็นหินแกรนิตซึ่งมีสีซีดกว่าหินแกบโบร จุดสูงสุดของเนินเขาสีแดงคือ ยอดเขา Glamaig ประมาณ 2,543 ฟุต
ที่เชิงเขา Black Cuillins ใกล้กับหุบเขา Glenbrittle คือ Fairy Pools เป็นแอ่งน้ำสีฟ้าใสบนแม่น้ำ Brittle แอ่งหินที่สวยงามของน้ำพุใสที่ไหลมาจากน้ำตกจากเทือกเขา Cuillin
บริเวณเหนือสุดทางทิศตะวันตกของเกาะสกาย เป็นที่ตั้งของปราสาทดันวีแกน (Dunvegan Castle) สร้างขึ้นในปี 1266 เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดที่มีผู้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในสกอตแลนด์และเป็นฐานที่มั่นของ Chiefs of MacLeod มาเกือบ 800 ปี
‘Old Man of Storr’ เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะสกาย สูงหง่านสูงถึง 164 ฟุต หน้าผายอดแหลมนี้ยื่นออกมาจาก Trotternish Ridge ทางเหนือของเมืองพอร์ทรี
ด้วยความสวยงามของภูมิทัศน์ของภูเขา ทุ่งหญ้าเขียวขจี ทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับ และหน้าผาที่สูงตระหง่านริมทะเล เกาะสกายจึงถูกใช้เป็นฉากในภาพยนต์ดังๆ หลายเรื่อง เช่น The BFG, Macbeth, Stardust, Snow White and the Huntsman, Prometheus, 47 Ronin, King Arthur: Legend of the Sword และ Transformers: The Last Knight

Most Beautiful Places in the World #35 – ‘ทะเลสาบไบคาล’ (Lake Baikal)
เป็นทะเลสาบที่เก่าแก่และลึกที่สุดในโลก คือ ‘ทะเลศักดิ์สิทธิ์’ ของรัสเซีย และเป็นเส้นชีวิตของชาวไซบีเรียตอนใต้มานานหลายพันปีเนื่องจากมีน้ำบริสุทธิ์และสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์
ทะเลสาบโบราณขนาดมหึมาใหญ่กว่า Great Lakes ทั้งหมดของอเมริกาเหนือรวมกัน มีแหล่งน้ำจืดประมาณ 23% ของโลก ทะเลสาบไบคาลซึ่งตั้งไม่ไกลจากชายแดนมองโกเลียถูกล้อมรอบด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำในป่าไบคาลเป็นพื้นที่อันยิ่งใหญ่และน่าทึ่งของความงามตามธรรมชาติ ยังเป็นเป็นที่อยู่ของพืชและสัตว์มากกว่า 2,000 ชนิด ซึ่ง 2 ใน 3 ของชนิดนี้ไม่สามารถพบได้จากที่อื่นใน โลกรวมถึงปลาไบคาลโอมุล (Baikal Omul) และปลาน้ำมันไบคาล (Baikal Oilfish) รวมทั้ง ‘แมวน้ำไบคาล’ แมวน้ำน้ำจืดที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่า ‘เนอร์ปา’ หนึ่งในสัตว์น้ำจืดชนิดเดียวของโลก
ทะเลสาบไบคาล มีชื่อเล่นว่า ‘ไข่มุกแห่งไซบีเรีย’ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไซบีเรียตะวันออกภายในสาธารณรัฐบูเรียตียา (Buryatia) และ อีร์คุตสค์ (Irkutsk Oblast) ของรัสเซีย เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ในโลก อายุ 20 ล้าน – 25 ล้านปี รวมถึงแหล่งน้ำในทวีปที่ลึกที่สุดโดยมีความลึกสูงสุด 1,620 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 31,500 ตารางกิโลเมตร ความยาว 636 กิโลเมตร และความกว้างเฉลี่ย 48 กิโลเมตร
แม้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1996 แต่ทะเลสาบไบคาลยังคงถูกคุกคามจากมลพิษทางอุตสาหกรรม การขาดแคลนทางการเกษตร และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมถึงกิจกรรมการทำเหมือง และการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในบริเวณใกล้เคียง
สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนี้พิเศษเป็นพิเศษก็คือน้ำที่ใสมากทำให้น้ำแข็งมีสีเทอร์ควอยซ์สวยงาม และก๊าซมีเทนที่ลอยขึ้นมาจากพื้นทะเลสาบทำให้เกิดรูปแบบวงกลมที่ไม่เหมือนใครในน้ำแข็ง บางครั้งก็ดันเศษน้ำแข็งของในมุมที่แปลก ช่างภาพแห่กันไปที่ทะเลสาบเพื่อถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้

Most Beautiful Places in the World #36 – ‘ลากูน่า โคโลราด้า’ (Laguna Colorada Bolivia)
เป็นทะเลสาบน้ำเค็มทางตะวันตกเฉียงใต้ของ เทือกเขาอัลติพลาโน (Altiplano) ของโบลิเวียใกล้กับชายแดนชิลี
‘เทือกเขาอัลติพลาโน’ มีทะเลสาบขนาดใหญ่หลายแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดใสเนื่องจากแร่ธาตุในน้ำ เช่น ลากูน่าเวิร์ด เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีน้ำทะเลสีเขียวมรกตที่โดดเด่น แต่ลากูน่าโคโลราดาเป็นทะเลสาบสีแดงขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในเขตนี้
ลากูน่า โคโลราด้า หรือ ‘ทะเลสาบสีแดง’ เป็นทะเลสาบน้ำเค็มตื้นที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 14,000 ฟุต ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 6,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ใกล้กับ ‘ซาลาร์ เด อูยูนี’ (Uyuni Salt Flat) เป็นที่ราบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของโบลิเวีย
ทะเลสาบน้ำเค็มในเงามืดของเทือกเขาแอนดีสแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลสีแดงเลือดซึ่งเป็นผลมาจากสาหร่ายที่เจริญเติบโตได้ในความร้อนสูง และแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำ ช่างภาพจากทั่วโลกต่างหลงใหลในสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจโดยทะเลสาบสีแดงเข้มลึกตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับท้องฟ้าสีฟ้าใส และหิมะสีขาวบนภูเขาที่อยู่ห่างไกล
ฝูงนกฟลามิงโกถูกดึงมาที่ทะเลสาบแห่งนี้เนื่องจากมีแพลงก์ตอนมากมาย มีการพบนกฟลามิงโกสามในหกชนิดของโลกได้ที่นี่ Chilean Flamingo, Andean flamingo และ James’s flamingo โดยเฉพาะนกเจมส์ฟลามิงโกที่พบได้เฉพาะในที่ราบสูงแอนเดียนที่คิดว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 จนกระทั่งมีการค้นพบประชากรของนกเจมส์ฟลามิงโกจำนวนเล็กน้อยที่ ลากูน่า โคโลราด้า ในปี 1956
สีสันของลากูน่า โคโลราด้า โดดเด่นทันทีที่ได้เห็น แต่งแต้มด้วยสาหร่ายสีแดงและจุลินทรีย์อื่นๆ ทำให้น้ำมีสีแดงอมส้มเข้ม ทะเลสาบเกลือถูกแต่งแต้มด้วยแอ่งน้ำสีขาวขนาดใหญ่ที่เกิดจากการสะสมของบอแรกซ์จำนวนมากบนพื้นผิวของทะเลสาบโดยตัดกันอย่างสมบูรณ์แบบ ลากูน่าโคโลราดาเป็นส่วนหนึ่งของเขตอนุรักษ์แห่งชาติ Eduardo Avaroa Andean Fauna และในปี 1990 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ”

Most Beautiful Places in the World #37 – คัปปาโดเกีย, ตุรกี (Cappadocia, Turkey)
ปล่องหิน หรือ ปล่องไฟนางฟ้า เมืองใต้ดินและซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโบราณ เป็นสถานที่ตั้งของอารยธรรมที่แตกต่างกันมาหลายพันปี
การปะทุของภูเขาไฟโบราณ ลาวาที่พ่นออกมาจากภูเขาไฟระเบิดที่เกิดขึ้นจากภูเขา Erciyes ภูเขา Hasan และ Mount Gulludag ได้ก่อตัวขึ้นเป็นที่ราบสูงมีลักษณะเป็นรูปโต๊ะขนาดใหญ่ (Table Plateaus) ได้กลายเป็นหินทูฟา (Tufa) ที่ทับถมกันเป็นเวลานาน ต่อมาได้ถูกการกัดเซาะจากแม่น้ำแดง (Kizilirmak) และลมฝนเป็นเวลาหลายล้านปี เกิดเป็นปล่องหินซึ่งทอดยาวไปถึงท้องฟ้าได้ไกลถึง 130 ฟุต และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวฮิตไทต์ (Hatties) เป็นคนกลุ่มแรกของคัปปาโดเกียในช่วง 2,500-2000 ปีก่อนคริสตศักรา ในไม่ช้าชาวอัสซีเรียก็ได้ตั้งอาณานิคมการค้าในภูมิภาคนี้ เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม จนถึงการล่มสลายของชาวฮิตไทต์ในศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราช
ต่อมาถูกครอบครอโดยชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช หรือในช่วงเวลาการปกครองของอเล็กซานเดอร์มหาราชใน 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช และเมื่อกษัตริย์แห่งคัปปาโดเกียองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 17 ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน
ในศตวรรษที่ 4-7 คัปปาโดเกียยังกลายเป็นที่หลบภัยของคริสเตียนยุคแรกจำนวนมากที่หนีการกดขี่ข่มเหงจากโรม และได้ค้นพบเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเหล่านี้ อีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 การโจมตีของชาวอาหรับได้เข้าครอบครองภูมิภาคนี้ และจากนั้นก็คือพวกเซลจุ๊ก สันติภาพมีความโดดเด่นในช่วงจักรวรรดิออตโตมัน หลังจากสนธิสัญญาโลซานชาวคริสต์ได้อพยพและออกจากคัปปาโดเกียระหว่างปี 1924-1926
คัปปาโดเกียมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในโลกและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ เป็นภูมิภาคที่สวยงามในภาคกลางของตุรกีที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทิวทัศน์คล้ายดั่งเทพนิยาย การก่อตัวของหินภูเขาไฟที่น่าทึ่ง และแน่นอนว่าบอลลูนหลายร้อยลูกที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นทุกเช้า
เนื่องจากความหลากหลายทางธรรมชาติและวัฒนธรรมคัปปาโดเกียจึงอยู่ในรายชื่อมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปีค.ศ.1985

Most Beautiful Places in the World #38 – ทะเลสาบเทคาโป (Lake Tekapo, New Zealand)
ทะเลสาบธารน้ำแข็งขนาดใหญ่กลางเกาะใต้ ล้อมรอบด้วยเทือกเขาที่สูงตระหง่าน ครอบคลุมพื้นที่ 83 ตารางกิโลเมตรและมีความสูง 710 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในลุ่มน้ำแมคเคนซี ‘Mackenzie Basin’ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ ที่ตั้งอยู่ในเขตแม็คเคนซี่และไวอากิ
ทะเลสาบเทคาโปยังเป็นทะเลสาบใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบ 3 แห่งในพื้นที่ลุ่มน้ำแมคเคนซี (Lake Ohau และ Lake Pukaki) อยู่ไม่ไกลภูเขา Mt.Cook ที่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของนิวซีแลนด์ คำว่า ‘Tekapo’ เป็นภาษาเมารี หมายถึง “สถานที่นอนหลับยามค่ำคืน” ซึ่งมาจากคำว่า “taka” หรือ “teka” (ปูรองนอน) และ “po” (กลางคืน)
เทือกเขาตอนใต้ถูกปกคลุมอย่างถาวรด้วยน้ำแข็งที่ไหลลงมาจากภูเขาละลายแล้วตามลงไปในทะเลสาบผ่านแม่น้ำก็อดลีย์สู่ทะเลสาบเทคาโปมีสีที่มีสีฟ้าคราม หุบเขาทั้งหมดที่ทะเลสาบตั้งอยู่ในตอนนี้เคยถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ทอดยาวจากยอดเขาไปจนสุดปลายทะเลสาบ
สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ของทะเลสาบเป็นผลมาจากธารน้ำแข็งโดยรอบ มีอนุภาคของหินที่ละเอียดมากซึ่งไหลมาจากธารน้ำแข็ง เรียกว่า “แป้งธารน้ำแข็ง” จะแขวนลอยอยู่ในน้ำและทำให้เกิดสีฟ้าคราม ตัดกับฉากหลังของยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและทุ่งดอกลูปินที่บานสะพรั่งบนชายฝั่งทะเลสาบเทคาโป
‘โบสถ์คนเลี้ยงแกะ’ (Church of the Good Shepherd) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณของท้องถิ่น เป็นโบสถ์แห่งเดียวในทะเลสาบเทคาโป หนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงและได้รับการถ่ายภาพมากที่สุดในนิวซีแลนด์ซึ่งสร้างขึ้นบนชายฝั่งทะเลสาบมีทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและภูเขาโดยรอบ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1935 สำหรับครอบครัวผู้บุกเบิกในเขตแม็คเคนซี่ ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ยังใช้คงเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาในวันสำคัญๆ ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้ง “อนุสาวรีย์สุนัขเลี้ยงแกะ” ที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงสุนัขคอลลี่ที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านในการต้อนแกะ
เมืองทะเลสาบเทคาโป (ซึ่งมักเรียกกันสั้นๆ ว่าเทคาโป) ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของทะเลสาบที่มีชื่อเดียวกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยบ้านพักตากอากาศ แต่ก็ยังมีขนาดใหญ่พอที่จะมีร้านค้ามากมาย รวมถึงร้านขายของที่ระลึก ปั๊มน้ำมัน เบเกอรี่ และซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ถนนสายหลักของเมืองอยู่บนทางหลวงหมายเลข 8 ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมระหว่างควีนส์ทาวน์และไครสต์เชิร์ช

Most Beautiful Places in the World #39 – ยอดเขาคิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro, Tanzania)
ยอดเขาที่สูงที่สุดในแอฟริกา ภูเขาอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก – นี่ยอดเขาคิลิมันจาโร – สัญลักษณ์ที่สูงตระหง่านของความยิ่งใหญ่ ความสง่างาม และอำนาจ
ภูเขาไฟแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือที่ราบโดยรอบโดยมียอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะปรากฏเหนือทุ่งหญ้าสะวันนา ภูเขาล้อมรอบด้วยป่าภูเขา ครอบคลุมพื้นที่ 652 ตารางไมล์ (1,688 ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแทนซาเนียใกล้กับพรมแดนประเทศเคนยา จากความสูง 5,895 เมตร หรือ 19,340 ฟุตของยอดเขาคิลิมันจาโร จะนำเราไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งน้ำแข็งและหิมะในฤดูหนาว และความงดงามของหลังคาทวีป ในภาษาสวาฮิลี Kilima แปลว่า “ภูเขา” และคำว่า KiChagga Njaro แปลว่า “ความขาว” ยอดเขาคิลิมันจาโรจึงหมายถึง ‘ภูเขาที่มีสีขาว’ อันน่าจะมาจากยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี
คิลิมันจามียอดภูเขาไฟหลักสามยอดคือได้แก่ คิโบ, มาเวนซี, และชิรา (Kibo, Mawenzi, Shira) โดยคิโบ คือยอดภูเขาไฟที่สูงที่สุดในทั้งสาม ในขณะที่มาเวนซี และชิราดับไปแล้ว ส่วน ‘คิโบ’ คือปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดมีความกว้างมากกว่า 15 ไมล์ ยังอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์คาดว่าการปะทุครั้งสุดท้ายคือ 360,000 ปีที่แล้ว
จุดที่สูงที่สุดบนขอบปล่องภูเขาไฟคิโบ เรียกว่า ‘Uhuru’ ซึ่งเป็นคำภาษาสวาฮิลี แปลว่า “อิสรภาพ” ได้รับการตั้งชื่อในปี 1961 เมื่อ Tanganyika ได้รับเอกราช (ต่อมาแทนกันยิกาได้เข้าร่วมกับหมู่เกาะแซนซิบาร์เพื่อก่อตั้งแทนซาเนีย) ภูเขาแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าหิมะอาจจะหายไปภายใน 20 ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น
ในปี 1973 ยอดเขาแห่งนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติคิลิมันจาโรเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งรวมถึงป่าภูเขาที่ล้อมรอบภูเขาคิลิมันจาโร ภูเขาคิลิมันจาโรเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของแอฟริกา มีสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ ภูเขา ทั้งช้าง เสือดาว ม้าลาย ยีราฟ และควายป่า รวมทั้ง ‘ลิงสีน้ำเงิน’
อุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 1987

Most Beautiful Places in the World #40 – ชายฝั่ง ‘นาปาลี’ (Na Pali Coast, Hawaii)
ประติมากรรมที่งดงามของธรรมชาติซึ่งสร้างขึ้นจากการชนกันทางธรณีวิทยาของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดการปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ คลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าสู่ชายฝั่งปีแล้วปีเล่าทำให้เกิดถ้ำทะเลกว้างขึ้น ในขณะเดียวกันการกัดเซาะผ่านลมและน้ำเป็นเวลาหลายล้านปี
กระบวนการทางธรรมชาตินี้ได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่น่าทึ่ง แนวชายฝั่งระยะทางชายฝั่งที่ทอดยาวถึง 17 ไมล์ไปตามชายฝั่งทางเหนือของ ‘เกาะคาไว’ (Kauai) ซึ่งเป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุดของหมู่เกาะฮาวาย หน้าผาสีมรกตที่สูงถึง 4,000 ฟุต หรือ 1,200 เมตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีสันเขาแหลม เผยให้เห็นชายหาดและน้ำตกที่สวยงามซึ่งตกลงสู่พื้นหุบเขาอันเขียวชอุ่ม ภูมิประเทศที่ขรุขระปรากฏขึ้นมากเช่นเดียวกับเมื่อหลายศตวรรษก่อน
คำว่า “Na Pali” หมายถึง “หน้าผา” ชาวฮาวายโบราณเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาหลายแห่งในพื้นที่ที่ได้รับการยกย่องนี้ ชุมชนของพวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาทำไร่ หาปลาและแลกเปลี่ยนกันเพื่อความอยู่รอด หุบเขาคาลาเลา (Kalalau Valley) หล่อเลี้ยงชุมชนชายฝั่งนาบาลีที่ใหญ่ที่สุด และยังคงดึงดูดผู้คนให้มาพบกับความงดงามราวกับมหาวิหารอันบิ่งใหญ่นี้

