เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

วันเสาร์

09.00-13.00 น.

เราช่วยคุณได้

@oneworldtour

Travel License : 11/05298

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

Most Beautiful Places in the World – สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก

Most Beautiful Places in the World – สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก

29

Oct

อเมริกา

Most Beautiful Places in the World – สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก

Most Beautiful Places in the World #16 – น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls, Argentina-Brazil)
ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา
น้ำตกอีกวาซู ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1984 (อาร์เจนตินา) และปี 1986 (บราซิล) และยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติยุคใหม่ (New Seven Wonders of Nature) ในปี 2011 อุทยานแห่งชาติอีกวาซูประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติ 2 แห่งแห่งหนึ่งที่ ‘ฟอซเดอ อีกวาซู’ (Foz de Iguazu)  ในบราซิล และอีกแห่งที่ ‘ปวยร์โต อีกวาซู’ (Puerto Iguazu) ในอาร์เจนตินา มีขนาด 252,982 เฮกตาร์ (67,720 ในฝั่งอาร์เจนตินาและ 185,262 ในฝั่งบราซิล) ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 1934 ในอาร์เจนตินา และ ปี 1939 ในบราซิล
มีน้ำตกถึง 275 แห่งกระจายอยู่ในความยาว 2.7 กม. (1.7 ไมล์) ส่วนที่น่าประทับใจที่สุดคือ “คอปีศาจ” ยังสูงที่สุด 82 ม. (269 ฟุต) บุคคลแรกที่พบน้ำตกอีกวาซูคือนักสำรวจชาวสเปนชื่อ ‘Alvar Nuñez Cabeza de Vaca’ เมื่อปีค.ศ.1542 เขาตั้งชื่อน้ำตกนี้เป็นครั้งแรกว่า ‘Santa Maria Falls’ แต่พวกเขาเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Iguazú ในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ควรจะชมน้ำตกอีกวาซูด้านใด ระหว่างบราซิลหรืออาร์เจนตินา ?
น้ำตกอีกวาซูฝั่งบราซิล สามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยรถรับส่งจะพาไปยังเส้นทางที่นำไปสู่จุดชมวิวต่างๆ ที่ด้านขวาสุดของเส้นทางจะเป็นจุดชมวิว Observation Deck ที่ดีที่สุดซึ่งได้เห็นทิวทัศน์มุมกว้างของน้ำตกฝั่งอาร์เจนตินา หรืออาจจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมความยิ่งใหญ่ของน้ำตกซึ่งมีให้บริการในฝั่งบลาซิลเท่านั้น  
น้ำตกอีกวาซูฝั่งอาร์เจนตินา มีขนาดที่กว้างใหญ่มากครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ใน 4 ของน้ำตก สามารถเดินป่าไปตามเส้นทางธรรมชาติหลายแห่ง และนี่เป็นโอกาสของคุณที่จะได้ใกล้ชิดกับส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของน้ำตกที่รู้จักกันในนาม ‘คอหอยปีศาจ’ Devil’s throat หรือ “Garganta do Diablo” ในภาษาโปรตุเกที่มีน้ำไหลเข้ามาจากสามด้านที่แตกต่างกันทำให้มีลักษณะเฉพาะเหมือนหน้าผารูปตัว ‘U’    
Iguazú แปลว่า “สายน้ำที่ยิ่งใหญ่” ในภาษาทูปิ-กัวรานี (Tupi-Guarani) ซึ่งเป็นภาษาของชนพื้นเมืองในท้องถิ่นที่มีความเชื่อในเทพของพวกเขาที่ชื่อ Mboi ซึ่งเป็นงูยักษ์ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำผู้ซึ่งทำให้เกิดน้ำตกที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
คำพูดไม่สามารถอธิบายความยิ่งใหญ่ที่น่าตกตะลึงได้ ต้องรอจนกว่าคุณจะได้เห็นขนาดและปริมาณของน้ำตกที่แท้จริงในอเมริกาใต้นี้ และเมื่อได้มาเห็นแล้วคุณจะอาจต้องให้ ‘อีกวาซู’ เป็นน้ำตกที่งดงามที่สุดในโลก!! ก็ได้

Most Beautiful Places in the World #17 – ‘The Great Ocean Road’
ทอดยาวโอบล้อมด้วยหน้าผาสูงตระหง่านริมทะเลทอดยาวไปตามมหาสมุทรแปซิฟิกอันมีทิวทัศน์ที่โดดเด่นของชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย นับว่าเป็นถนนเลียบชายฝั่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เส้นทาง Great Ocean Road มีความยาว 243 กม.เริ่มต้นที่เมืองทอร์คีย์ (Torquay) ซึ่งอยู่ห่างจากเมลเบิร์น 105 กม. และวิ่งต่อไปทางตะวันตกตามแนวชายฝั่งเพื่อไปสิ้นสุดที่เมืองอัลแลนส์ฟอร์ด (Allansford) เป็นเส้นทางที่จะได้เห็นวิวที่ดีที่สุดและสามารถเดินทางไปยังจุดชมวิวต่างๆได้อย่างง่ายดาย
‘Twelve Apostles’ หรือ ‘กองหินอัครสาวกทั้ง 12’ การก่อตัวของหินธรรมชาติซึ่งแกะสลักจากหน้าผาหินปูนที่มีอายุนับล้านปี แนวภูเขาหินปูนที่เรียงรายอยู่ริมมหาสมุทรและเป็นสัญลักษณ์ของถนนเส้นนี้เป็นภาพที่ยากจะลืมเลือน เมื่อหลายล้านปีก่อนกองหินเหล่านี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ชายฝั่ง แต่เนื่องจากจากสภาพอากาศ น้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก การกัดเซาะอย่างต่อเนื่องนี้เนื่องมาจากพลังธรรมชาติทำให้เกิดกองหินอันน่าอัศจรรย์นี้ขึ้นมา
Loch Ard Gorge ซึ่งเป็นอ่าวที่เข้าที่งดงามซึ่งมีน้ำทะเลสีฟ้าใสและมีหน้าผาสีเหลืองสองข้างขนาบข้าง อ่าวเล็กๆ แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับซากเรือชื่อ Loch Ard ชนกับแนวหินบนเส้นทางจากอังกฤษไปยังเมลเบิร์น และอับปางจมอยู่ใต้เกลียวคลื่นในปี 1878
สภาสงครามแห่งรัฐเสนอแผนการจ้างทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว 3,000 นายสร้างถนนเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารที่เสียชีวิตในมหาสงคราม แผนแนะนำให้เริ่มต้นเส้นทางที่บาร์วอนเฮดส์ (Barwon Heads) ต่อไปทางตะวันตกตามแนวชายฝั่งผ่านแหลมออตเวย์ (Cape Otway) และสิ้นสุดใกล้กับเมืองวอรร์นามบูล (Warrnambool) ในปี 1919 การก่อสร้าง South Coast Road เริ่มขึ้น รวมระเวลาในการสร้างทั้งหมด 13 ปี (1919 -1932)
วันที่ 18 มีนาคม 1922 ได้เปิดถนนส่วนแรกขึ้นจากฝั่งตะวันออกไปยังเมืองลอร์น (Lorne) ในเดือนพฤศจิกายน 1932 ถนนดังกล่าวได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการโดยมีการเฉลิมฉลองในช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งจัดขึ้นใกล้กับโรงแรมแกรนด์แปซิฟิกของลอร์น และเปลี่ยนชื่อเป็น Great Ocean Road อย่างเป็นทางการ จากนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นอนุสรณ์สถานสงครามที่ยาวที่สุดในโลก

Most Beautiful Places in the World #18 – ปามุคคาเล่, ตุรกี (Pamukkale, Turkey)
สวรรค์แห่งประวัติศาสตร์สุขภาพ
‘ปามุคคาเล่’ แปลว่า “ปราสาทฝ้าย” ในภาษาตุรกี เป็นเมืองสปาอาบน้ำแร่ที่สำคัญที่สุดของตุรกี เกิดจากน้ำร้อนที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตปริมาณสูงไหลออกมาจากใต้ดินและไหลลงไปตามไหล่เขาที่สูงชันตกตะกอนสีขาวก่อตัวเป็นแอ่งน้ำและรูปทรงที่น่าทึ่งดูคล้ายกับปราการและปราสาท กลายน้ำตกที่เต็มไปด้วยแคลเซียมลดหลั่นลงไปเกือบ 200 เมตร
แคลเซียมสีขาวที่แข็งตัวในหินเรียกว่า ‘ทราเวอร์ทีน’ (Travertine) เป็นรูปแบบหนึ่งของหินปูนมีลักษณะคล้ายกับน้ำตกที่ที่ถูกแช่แข็งซึ่งรวมตัวกันลงไปในอ่างน้ำพุร้อนธรรมชาติ ร่วมกับเมืองโบราณและซากปรักหักพังของเฮียราโพลิส ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ.1988
ปามุคคาเล่เป็นสปาตั้งแต่ชาวโรมันสร้างเมืองสปา ‘เฮียราโพลิส’ (Hierapolis) ขึ้นรอบๆ น้ำพุอุ่นอันศักดิ์สิทธิ์ สระว่ายน้ำโบราณยังคงอยู่ที่นั่นซึ่งกระจัดกระรายด้วยเสาหินอ่อนจากวิหารโรมันอพอลโล ซากปรักหักพังของเมืองได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างน่าประทับใจเราสามารถอาบน้ำเหมือนจักรพรรดิท่ามกลางเสาที่จมอยู่ใต้น้ำอายุหลายศตวรรษ   ปามุคคาเล่ ตั้งอยู่ในจังหวัดเดนิซลีในประเทศตุรกี ใกล้กับเมืองสปาของเฮียราโพลิสซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์ ยูเมเนส ของอาณาจักรเพอร์กามอน (Pergamom) ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช อย่างไรก็ตามเมืองนี้ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวในปี 60 และสร้างขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา ซากปรักหักพังของยุคกรีก – โรมัน ได้แก่ ห้องอาบน้ำโบราณที่หลงเหลืออยู่ วัด ซุ้มประตู สุสาน และโรงละคร
เฮียราโพลิสเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญหลังจากการยอมรับศาสนาคริสต์โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินและการก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปีคริสตศักราชที่ 330
ทุกวันนี้ปามุคคาเล่คือสถานที่มหัศจรรย์ เป็นหนึ่งในภูมิทัศน์ธรรมชาติที่งดงามที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในตุรกีดึงดูดผู้เยี่ยมชมกว่า 50 ล้านคนต่อปี

Most Beautiful Places in the World #19 – อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน, ชิลี (Torres del Paine National Park, Chile)
ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสและมหาสมุทรแปซิฟิก ทวีปอเมริกาใต้
อุทยานแห่งชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของชิลี มีพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิดซึ่งด้วยสภาพแวดล้อมที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ท่ามกลางน้ำทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ ธารน้ำแข็ง และเขาหินแกรนิตสูงตระหง่านสุดอลังการสมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก
อุทยานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1959 ในชื่ออุทยานแห่งชาติ Turismo Lago Grey สองปีต่อมาอุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine มีพื้นที่ประมาณ 227.298 เฮกตาร์ (1,420.6125 ไร่) ในปี 1978 ได้รับการประกาศให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลของโลกโดย UNESCO
ในภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) นั้นเป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอาร์เจนตินาและชิลี ซึ่งเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งขนาดมหึมา ในส่วนของตอร์เรส เดล ไปย์เนนั้นได้แก่ธารน้ำแข็ง Grey Glacier (270 ตร.กม.) ธารน้ำแข็ง Dickson Glacier (71 ตร.กม.) และ Tyndall Glacier (331 ตร.กม.)
ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอุทยานประกอบด้วยยอดเขาสามยอดอันเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานฯ คือเทือกเขา Paine Massif ซึ่งมีความสูงลดหลั่นกันไป (Torre Norte 2,600 เมตร, Torre Central 2,800 เมตร และ Torre Sur 2,850 เมตร)
ต้นกำเนิดของเทือกเขาในอุทยานฯ สามารถย้อนกลับไปได้อย่างน้อย 12 ล้านปีก่อน ในช่วงเวลานี้ชั้นตะกอนของโลกได้ถูกยกตัวขึ้นและสึกกร่อนลงในเวลาต่อมาจากการกัดเซาะของน้ำแข็ง สิ่งที่เหลืออยู่คือหินแกรนิตที่แข็งและทนทานที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นตัวอย่างที่คลาสสิคของกระบวนการทางธรรมชาตินี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสีระหว่างหินตะกอนและหินแกรนิตอย่างชัดเจน
ตอร์เรส เดล ไปย์เนได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามไม่เหมือนใคร เป็นสถานที่ของทะเลสาบ แม่น้ำน้ำตก ธารน้ำ แข็งป่าไม้ และสัตว์ป่าที่น่าทึ่ง การชมนกแร้งคอนดอร์ หรือนกอินทรีดำที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าอันบริสุทธิ์เหนือศีรษะ ฝูงสุนัขจิ้งจอกกำลังหาเหยื่อ ‘กวางฮูมัล’ และ ‘กวางแอนเดียน’ ที่ใกล้สูญพันธุ์กำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน อูฐกัวนาคอส กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายใจ และหากรออย่างอดทนอาจโชคดีพอที่จะได้เห็นเสือพูมาผู้รักสันโดษในอุทยานแห่งชาติอันกว้างใหญ่แห่งนี้

Most Beautiful Places in the World #20 – ‘พระราชวังต้องห้าม’ (Forbidden City, Beijing, China)
เป็นพระราชวังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของจีนและมีโครงสร้างหรูหราอลังการและเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เป็นพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิจีนเป็นเวลาห้าศตวรรษ เคยเป็นพระราชวังของจีนในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (1368 – 1911) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987  
สร้างขึ้นระหว่างปี 1406 – 1420 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจักรพรรดิเฉิงจู่แห่งราชวงศ์หมิง (จักรพรรดิหย่งเล่อ)(1368-1644) พระราชวังต้องห้ามเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ อาคารและห้องพักหลายพันห้องได้รับการจัดวางอย่างพิถีพิถันซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของจีนแบบดั้งเดิมที่มีต่อโลก ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางพิธีการและการเมืองของประเทศจีนโบราณตลอด 500 ปี เป็นที่รู้จักในภาษาจีนว่า Zijincheng ‘เมืองต้องห้ามสีม่วง’
Hall of Supreme Harmony เป็นใจกลางของพระราชวังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ เป็นอาคารที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศ และยังรู้จักกันในชื่อ “Hall of Gold Throne” ห้องโถงใหญ่นี้เป็นโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมพื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ซึ่งเป็นที่ใช้สำหรับพิธียิ่งใหญ่เช่นพิธีขึ้นครองราชย์ บัลลังก์ของจักรพรรดิวางอยู่บนแท่นหยกสีขาวสูง 2 เมตรตรงกลางซึ่งประดับด้วยทองคำและสลักลวดลายของเมฆและมังกรเก้าตัว ห้องโถงอื่นๆ กระจายออกไปด้านนอกตามแกนเหนือ – ใต้ จักรพรรดิเองและข้าราชบริพาลที่เป็นชายทุกคนอาศัยอยู่ในอาคารทางฝั่งตะวันออก ขณะที่ผู้หญิงอาศัยอยู่ทางด้านตะวันตกของอาคาร
พระราชวังต้องห้ามรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดมหึมาครอบคลุมพื้นที่ 72 เฮกตาร์ (450 ไร่) และมีห้องพักมากกว่า 9,000 ห้อง แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ชั้นนอกสำหรับกิจการของชาติทางตอนใต้ และชั้นในเป็นที่พักอาศัยทางตอนเหนือ ไม่เพียงแต่เป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นคลังเก็บงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์กว่า 1.8 ล้านชิ้น รวมถึงการประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพวาดโบราณ สิ่งประดิษฐ์ของจักรพรรดิ หนังสือโบราณ และหอจดหมายเหตุ  
หลังจากจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนออกจากพระราชวังแล้ว ต่อมาได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในปี 1925 ตั้งแต่นั้นมาพระราชวังต้องห้ามก็ไม่เป็น “ต้องห้าม” อีกต่อไป

Most Beautiful Places in the World #21 – ‘ชายฝั่งอามัลฟี’ (Amalfi Coast, Italy)
เหมือนลอยอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ระหว่างท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีรุ้ง ชายฝั่งอามัลฟีดูเหมือนจานสีของจิตรกรที่ต้องการใช้การไล่ระดับสีเพื่อสร้างภูมิทัศน์ที่ดึงดูดผู้มาเยือน
มีการเปรียบอมาลฟี่เป็นดินแดนที่กลิ่นหอมของดอกเลมอนที่กลมกลืนกับพันธุ์ไม้เมดิเตอร์เรเนียนที่มีกลิ่นหอมที่สุดแห่งหนึ่งและกลิ่นของน้ำทะล ที่ซึ่งสีสันอันสดใสของโดมมาโคลิกา เฟื่องฟ้า และคาร์เนชั่น ให้สัมผัสที่มีสีสันให้กับบ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ริมผาตัดกับภูเขา Lattari Mounts ที่ทอดตัวลงสู่ท้องทะเล
ภูมิประเทศในแนวหน้าผานี้มีลักษณะเป็นทางเดินเขาวงกตและตรอกซอกซอยแคบๆ ที่งดงามซึ่งเชื่อมต่อองค์ประกอบหลักสองส่วนของภูมิทัศน์นี้ ได้แก่ ภูเขาและทะเล พื้นที่แหลมและเวิ้งอ่าวที่ต่อเนื่องกันไปสลับกับชายหาดหินกรวดและโขดหินซึ่งสามารถมองเห็นหอคอยหินโบราณซึ่งเป็นป้อมปราการแห่งแรกชายฝั่งอามัลฟีที่ต่อต้านการโจมตีของกองทัพ ‘ซาราเซ็น’ (Saracens – ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมอาหรับ และเติร์ก หรือชาติอื่นๆ ที่เป็นมุสลิมตามที่นักเขียนคริสเตียนในยุโรปอ้างถึงในช่วงยุคกลาง)
เมืองทั้งหมดของชายฝั่งอามัลฟี เชื่อมต่อกันด้วยถนนที่สวยงามถึงถนน 163 แห่งที่สร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ในสมัยบูร์บง และถือเป็นถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี มีเมือง 13 เมืองที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่  เช่น
อามัลฟี (Amalfi) เมืองที่สร้างชื่อให้กับชายฝั่ง ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Monte Cerreto ล้อมรอบด้วยหน้าผาและทิวทัศน์ชายฝั่งที่สวยงามของทะเลไทเรเนียนที่สวยงามระยิบระยับ
แอตรานี (Atrani) เป็นหมู่บ้านชาวประมงชายฝั่งที่มีประชากรน้อยกว่าหนึ่งพันคน มันตั้งอยู่ในรอยแยกของหน้าผาสูงชันสองแห่งบนชายฝั่งของทะเลไทเรเนียน เป็นสถานที่ที่งดงามและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี
ซีทารา Cetara เป็นหมู่บ้านชาวประมงบรรยากาศสบายๆ ริมชายฝั่งอามัลฟีท่ามกลางสวนส้มเขียวชอุ่ม ชื่อของ Cetara มาจากภาษาละติน Cetaria (หมายถึงอวนจับปลาทูน่า) ซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญของการตั้งถิ่นฐานของชาวประมงในยุคต่างๆ อยู่ภายใต้การปกครองทางการเมืองของสาธารณรัฐ Amalfi มานานหลายศตวรรษ
Positano เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รู้จักกันดีที่สุดของชายฝั่งอามัลฟี มีที่สวยงามในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ด้วยทิวทัศน์ที่สมบูรณ์แบบของบ้านในโทนสีพาสเทลที่ทอดตัวลงมาตามไหล่เขาเพื่อพบกับน้ำทะเลสีฟ้าเป็นประกายชวนให้นึกถึง ชิงเคว เทเร (Cinque Terre)

Most Beautiful Places in the World #22 – ซอสซัสฟลาย, นามิเบีย (Sossusvlei, Namibia)
ภูมิภาคซอสซัสฟลายตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนามิเบีย และเป็นที่ตั้งของ “อุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์” (Namib Naukluft Park)  
ซอสซัสฟลายซึ่งเป็นส่วนที่สวยงามตระการตาที่สุดของทะเลทรายนามิบอันเก่าแก่ อยู่ทางทิศตะวันตกและแนวลาดชันอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นกำแพงธรรมชาติกั้นระหว่างทะเลทรายนามิบและที่ราบสูงตอนกลางทางฝั่งตะวันออก  มีชื่อเสียงในเรื่องเนินทรายสีแดงสูงตระหง่านซึ่งสูงที่สุดโดยประมาณเกือบ 325 เมตร พื้นที่กว่า 202,200 เฮกตาร์ และทิวทัศน์ภายในเขตสงวนครอบคลุมแทบทุกความแตกต่างของทะเลทรายนามิบ ตั้งแต่เทือกเขาสูงขึ้นไปจนถึงที่ราบทะเลทรายกว้างใหญ่ และทุ่งหญ้าสะวันนา
‘vleis’ หมายถึง ‘หุบเขา หรือ แอ่งกระทะ’ ในภาษาแอฟริกา DeadVlei หรือ ‘หุบเขาแห่งความตาย’ คือบริเวณที่ต้นอะคาเซียสีเข้มที่ยืนต้นตายตัดกับพื้นแอ่งกระทะสีขาว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแม่น้ำ Tsauchab ท่วมและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำทำให้ต้นหนามอูฐเติบโต อย่างไรก็ตามสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป เนินทรายได้รุกล้ำเข้ามาในแอ่งกระทะมากขึ้นทำให้แม่น้ำไม่สามารถเข้ามาหล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ได้ ต้นไม้บางต้นมีอายุประมาณ 900 ปี แต่ยังไม่ย่อยสลายเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง
กระทะดินแห้งแล้งที่กระจัดกระจายไปด้วย แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยที่สุดนี้คุณจะเห็นสัตว์ป่าบางชนิดในพื้นที่โดยมีนกกระจอกเทศ และออริกซ์ (Oryx) ปรากฏตัวในตอนกลางวันในขณะที่ อาร์ดวาร์ก (Aardvark) จะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวในเวลากลางคืน
Deadvlei เป็นสวรรค์ของช่างภาพเนื่องจากความแตกต่างระหว่างต้นไม้สีดำสนิท พื้นของแอ่งกระทะสีขาวขุ่น เนินทรายสีแดงสนิม และท้องฟ้าสีครามทำให้ได้ภาพที่น่าทึ่ง
เนินทรายของซอสซัสฟลายนั้นค่อนข้างพิเศษโดยเฉพาะเมื่อมองในแสงแรกของวัน เมือดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือ หุบเขาแห่งความตาย เนินทรายเปลี่ยนรูปแบบจากกองทรายมาเป็นริบบิ้นสีแดงพริ้วไหวเด่นผ่านกาลเวลาเวลาของนามิเบียเป็นเวลาหลายศตวรรษ

Most Beautiful Places in the World #23 – กีซา, อียิปต์ (Giza, Egypt)
กิซาเป็นที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของไคโรสมัยใหม่ซึ่งทำหน้าที่เป็นสุสานสำหรับราชวงศ์ของอาณาจักรอียิปต์เก่า ปิรามิดแห่งกีซาสร้างขึ้นเพื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์ สุสานที่ยิ่งใหญ่เป็นวัตถุโบราณของอียิปต์ในยุคอาณาจักรเก่าและถูกสร้างขึ้นเมื่อ 4,500 ปีก่อน
ชาวไอยคุปต์เชื่อว่าฟาโรห์จะกลายเป็นเทพเจ้าในชีวิตหลังความตาย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหน้าพวกเขาได้สร้างวิหารถวายเทพเจ้าและสุสานพีระมิดขนาดใหญ่สำหรับตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยทุกสิ่งที่ผู้ปกครองแต่ละคนจำเป็นต้องดำรงตนในโลกหน้า
มหาพีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Khufu) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘พีระมิดแห่งคีออปส์’ (The Great Pyramid of Cheops) ซึ่งเป็นชื่อภาษากรีกของฟาโรคูฟู เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ โดยเริ่มสร้างปิรามิดแห่งกิซาแห่งแรกในราว เมื่อ 2550 ก่อนคริสต์ศักราช มหาพีระมิดของพระองค์ใหญ่ที่สุดในกิซ่าและมีหอคอยสูงกว่าที่ราบสูงประมาณ 147 เมตร ใช้ก้อนหินประมาณ 2.3 ล้านก้อนแต่ละก้อนมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 ถึง 15 ตัน
ฟาโรห์คาเฟร (Khafre) บุตรชายของคูฟู ได้สร้างพีระมิดแห่งที่สองที่กีซาประมาณ 2520 ก่อนคริสต์ศักราช มีความสูง 144 เมตร สุสานของเขายังรวมถึง ‘สฟิงซ์’ (Sphinx) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเหนือจากพีระมิดทั้งสาม หัวของสฟิงซ์ชาวไอยคุปต์เชื่อว่าเป็นของฟาโรคาเฟร แม้ว่าคนอื่นๆ จะโต้แย้งว่าเป็นตัวแทนของฟาโรคูฟู
ปิรามิดแห่งกีซาแห่งที่สาม จะมีขนาดเล็กกว่าปิรามิดแห่งแรกมาก สร้างโดยฟาโรห์เมนคูเร (Menkaure) เมื่อประมาณ 2490 ก่อนคริสต์ศักราช มีความสูง 65 เมตร ซึ่งมีการสร้างวิหารสำหรับเก็บพระศพที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าที่ราบสูงกีซาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปิรามิดทั้งสามมากที่สุด แต่สถานที่แห่งนี้ถูกใช้ในช่วงต้นราชวงศ์แรกของอียิปต์ ตามหลักฐานจากหลุมฝังศพของฟาโรห์ดเจท (Djet) ซึ่งพบทางขอบของที่ราบสูง นอกจากนี้ยังพบหลักฐานของกษัตริย์อย่างน้อยหนึ่งองค์จากราชวงศ์ที่สอง ‘ไนเน็ตเจอร์’ (Nynetjer) ที่ฝังอยู่ที่กีซา นอกจากนี้คำจารึกยังระบุว่า ‘ฟาโรคูฟูต้องล้างสุสานและหลุมฝังศพก่อนหน้านี้หลายแห่งเพื่อสร้างมหาพีระมิด’ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพหรือสิ่งของที่ฝังศพจากสุสานเหล่านั้น?

Most Beautiful Places in the World #24 – แอนตาร์กติกา (Antarctica)
ตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ เป็นทวีปที่สูงที่สุด หนาวที่สุด แห้งแล้งที่สุด และมีน้ำแข็งมากที่สุดของโลก และเป็นทวีปเดียวที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างถาวร
แอนตาร์กติกาเป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในแง่ของพื้นที่ทั้งหมด (มีขนาดใหญ่กว่าทั้งโอเชียเนียและยุโรป) ที่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากไม่มีประชากรอาศัยอยู่ เป็นดินแดนภายใต้การปกครองร่วมโดยพฤตินัยตามกฎหมายระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบสนธิสัญญาแอนตาร์กติก แม้ว่าจะมี 7 ชาติจะอ้างสิทธิ์ในส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร ชิลี และอาร์เจนตินา
แอนตาร์กติกยังรวมถึงพื้นที่เกาะภายในแอนตาร์กติกคอนเวอร์เจนซ์ ได้แก่ หมู่เกาะออร์คนีย์ใต้, หมู่เกาะเชตแลนด์ใต้, จอร์เจียใต้ และหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช ซึ่งทั้งหมดอ้างสิทธิ์โดยสหราชอาณาจักร เกาะปีเตอร์ที่ 1 (Peter I Island) และเกาะบูเว (Bouvet Island – เกาะบูเว เป็นเกาะที่ไกลที่สุดในโลก) ซึ่งอ้างสิทธิ์โดยนอร์เวย์ เกาะเฮิร์ด และหมู่เกาะแมคโดนัลด์ อ้างสิทธิ์โดยออสเตรเลีย, เกาะสก็อตต์และหมู่เกาะบัลเลนี ซึ่งอ้างสิทธิ์โดยนิวซีแลนด์
แอนตาร์กติกามีขนาดประมาณ 5.5 ล้านตารางไมล์ (14.2 ล้านตารางกิโลเมตร) และน้ำแข็งหนาปกคลุมประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ของแผ่นดิน ทวีปนี้แบ่งออกเป็นแอนตาร์กติกาตะวันออก (ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยที่ราบสูงที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งสูง) และแอนตาร์กติกาตะวันตก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมหมู่เกาะ และภูเขา)
แอนตาร์กติกามียอดภูเขาหลายแห่งรวมถึงเทือกเขา ‘ทรานแซนตาร์คติค’ (Transantarctic Mountains) ซึ่งแบ่งทวีปออกเป็นภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก ยอดเขาบางยอดมีความสูงมากกว่า 4,500 เมตร ความสูงของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกนั้นอยู่ที่ประมาณ 2,000 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร ใกล้ศูนย์กลางของทวีป
หากปราศจากน้ำแข็งแอนตาร์กติกาจะกลายเป็นคาบสมุทรขนาดยักษ์และหมู่เกาะภูเขาที่เรียกว่า ‘แอนตาร์กติกาตะวันตก หรือ แอนตาร์กติกาน้อย’ (Lesser Antarctica) และมีผืนดินขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่มีขนาดเท่ากับประเทศออสเตรเลีย หรือ ที่เรียกว่า ‘แอนตาร์กติกาตะวันออก’ (Greater Antarctica)
แม้ว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของแอนตาร์กติกาจะปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่ภูมิทัศน์ก็ยังคงมีความหลากหลายอย่างน่าทึ่ง เช่น ธารน้ำแข็งสีฟ้าเหนือจริงภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ช่องแคบเดรก (Drake Passage) และทิวทัศน์ 360 องศาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และมุมมองเหล่านั้นจะดียิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นขบวนพาเหรดของเจ้านกเพนกวินจักรพรรดิ หรือแมวน้ำ และวาฬหลังค่อมว่ายน้ำเล่นในทะเลที่ปกคลุมไปด้วยเกาะน้ำแข็งมากมายสุดสายตา

Most Beautiful Places in the World #25 – ‘แอนเทอโลป แคนยอน’ แอริโซนา (Antelope Canyon, Arizona)
สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดีที่สุดของพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ในเขตสงวนของอินแดนแดงเผ่านาวาโฮ ทางเหนือของรัฐแอริโซนา
โดยเฉพาะ ‘หุบเขาสล็อต’ (Slot Canyon) ที่เป็นร่องน้ำยาวแคบลึกถูกกัดเซาะจนคดเคี้ยวเป็นประติมากรรมหินทรายขนาดมหึมา เหมือนดั่งแกะสลักบนหืนทรายสีแดง ทั้งจากฝนและลมตามฤดูกาล ในหุบเขาเป็นทางเดินแคบๆ กว้างเพียง 8 ถึง 12 ฟุต ที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยฟุต มุมที่ลาดเอียงอันงดงามของโขดหิน โครงสร้างคล้ายคลื่นและลำแสงที่ส่องลงไปในช่องของหุบเขาโดยตรงทำให้เกิดลักษณะงดงามเหนือธรรมชาติรวมกันเป็นฉากที่ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดด้วยคำพูด  
แอนเทอโลปแคนยอนเป็นผลผลิตจากการกัดเซาะของน้ำหลายล้านปี อินเดียนแดงเผ่านาวาโฮเรียก ตอนบนของแอนเทอโลปแคนยอน (Upper Antelope Canyon) ว่า “Tse ‘bighanilini” ซึ่งแปลว่า “สถานที่ที่น้ำไหลผ่านโขดหิน” ส่วนทางตอนล่าง (Lower Antelope Canyon) เรียกว่า Hazdistazí ซึ่งแปลว่า “Spiral Rock Arches” หรือ ‘ซุ้มหินเกลียว’ ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่ของฝูงละมั่ง (Pronghorn Antelope) จำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของทุ่งหญ้าและมีชื่อเสียงในด้านการเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่วิ่งเร็วที่สุดในอเมริกาเหนือ
ได้ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติเพื่อมาชมความงามที่น่าทึ่งและลึกลับแห่งนี้ ด้วยกำแพงหุบเขาวนสูงขึ้นไป 120 ฟุตทำให้คล้ายเป็นมหาวิหารหินทรายสีแดงทรงเกลียวดูแปลกเหนือจินตนาการจนกลายเป็น ‘หุบเขาแห่งความฝันของช่างภาพทุกคน’

Most Beautiful Places in the World #26 – ทะเลทราย ‘อาตากามา’ (Atacama Desert, Chile)
มีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางไมล์ มีความยาวประมาณ 600 ไมล์จากเหนือจรดใต้ข้ามพรมแดนของชิลีไปยังเปรู โบลิเวีย และอาร์เจนตินา ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสและชายฝั่งชิลี ทอดยาวจากเปรูตอนใต้ไปจนถึงชิลีตอนเหนือ เป็นสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก และเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายอาตากามาได้รับการขนานนามว่าเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกคือ ส่วนใหญ่ตำแหน่งของทะเลทรายอยู่ระหว่างเทือกเขาคอร์ดิลเลร่า เด ลา คอสต้า (Cordillera de la Costa) ทางทิศตะวันตก และเทือกเขาแอนดีสไปทางทิศตะวันออก โดยมีระดับความสูงโดยรอบตั้งแต่ 5,000 ฟุตถึง 16,000 ฟุต ภูเขาและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ป้องกันไม่ให้ฝนตกถึงพื้นที่ของทะเลทรายอาตากามา เนื่องจากมีความสูงมากทะเลทรายอาตากามาจึงเป็นสถานที่ดูดาวที่ดีที่สุดในโลก
ภูมิประเทศที่แห้งแล้งซึ่งทิ้งเกลื่อนไปด้วยหลุมอุกกาบาตและภูเขาไฟและล้อมรอบด้วยเนินทรายขนาดใหญ่ที่มีลมพัดแรงนี้เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก โดยมีฝนตกเฉลี่ยหกวันต่อปี น้ำพุร้อนที่เปล่งประกาย แนวทะเลเกลือขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วพื้นที่ สาบอัลติเพลนิกสีมรกต (Altiplanic Lagoons) และหุบเขาหินอำพันอันงดงามเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ตลอดทั้งปี  
ฤดูร้อนของชิลีเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ อุณหภูมิประมาณ 6°C – 18°C โดยมีอากาศที่อบอุ่นและมีแสงแดดจัดในแต่ละวัน ในช่วงเวลานี้ ฝูงยามา หรือ ลามะ เล็มหญ้าอย่างมีความสุข และฝูงนกฟลามิงโกแอนเดียนหายากซึ่งกระจายอยู่ตามแนวทะเลเกลือตลอดทั้งปีจะรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ผลที่ตามมาของขนนกสีม่วงแดงกับภูเขาสีส้มเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะสำหรับการดูดาวและมักจะมองเห็นทางช้างเผือกได้   มีนาคม – พฤษภาคม จะมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อย (2°C – 16°C) แต่สภาพอากาศก็ยังคงอบอุ่นอยู่เสมอและในคืนฤดูใบไม้ร่วงอากาศจะเย็นสบายในทะเลทราย
มิถุนายน – สิงหาคม วันจะสั้นลงในช่วงฤดูหนาวและในขณะที่อุณหภูมิในตอนกลางวันยังคงดีอยู่ (-2°C – 13°C) แต่กลางคืนมักจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และอาจมีหิมะตกในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วทะเลทรายจะแห้งแล้งมาก แต่ก็มีโอกาสที่ฝนจะตกเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวผลที่ตามมาคือการออกดอกชูช่อของดอกไม้ป่าเฉพาะถิ่นที่เบ่งบานทั่วที่ราบแห้งแล้งนี้กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากมีผู้คนจำนวนน้อยกว่าช่วงไฮซีซั่นและอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น (2°C – 17°C) จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเยี่ยมชมทะเลทรายอาตากามา ทำกิจกรรม เช่น ขี่ม้า หรือเดินป่าข้ามภูมิประเทศผ่านหุบเขาที่คล้ายกับดวงจันทร์แห่งนี้

Most Beautiful Places in the World #27 – หมู่เกาะ ‘อะซอเรส’ (The Azores, Portugal)
หมู่เกาะที่งดงามของโปรตุเกสตั้งอยู่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ แบ่งออกเป็น ฝั่งตะวันออก (หมู่เกาะเซามิเกล และซานตามาเรีย), ตอนกลางกลาง (เกาะเตร์ซีรา, กราซิโอซา, เซาจอร์จ, เกาะปิโก และฟาเอล) และทางฝั่งตะวันตก (หมู่เกาะฟลอเรส และเกาะคอร์โว)
แม้แต่ผู้มาเยี่ยมอะโซเรชก็ยังสัมผัสได้ถึงทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และสีเขียวมรกต ทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ปล่องภูเขาไฟและหลุมอุกกาบาต ดอกไฮเดรนเยียและอาซาเลียหลากสี โบสถ์สมัยศตวรรษที่ 15-18 และคฤหาสน์อันโอ่อ่าหรูหรา มีอุณหภูมิที่ไม่รุนแรงตลอดทั้งปี (ระหว่าง 14 ° C – 22 ° C)
เกาะซานตามาเรีย (Santa Maria Island) เป็นเกาะแรกที่นักสำรวจชาวโปรตุเกสค้นพบ และเป็นเกาะแรกที่มีผู้คนอาศัยอยู่โดยชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งถิ่นฐานในปี 1439 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแอลการ์ฟตามคำสั่งของเจ้าชายเฮนรีนักเดินเรือ (Prince Henry the Navigator)  
เกาะเซามิเกล (Sao Miguel Island) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะอะซอเรสทั้งหมด ทางทิศตะวันออกของเกาะออกคือหมู่บ้าน ‘Furnas’ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แคลดีรา หรือ ปล่องภูเขาไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเกาะ ทางทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของปล่องภูเขาไฟ ‘Sete Cidades’ ที่ใหญ่ที่สุดของเกาะเซามิเกล เกาะเทอร์ไซรา (Terceira Island) เกาะนี้มีเมืองเก่าที่สุดของกลุ่มเกาะอะซอเรส คือ เมืองอังกราดูเอรูวิชมู หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อังกรา’ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1986
เกาะกราซิโอซา (Graciosa Island) เป็นที่รู้จักในนาม “เกาะสีขาว” เมืองหลวงคือ ‘Santa Cruz da Graciosa’ เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
เกาะฟาเอล (Faial Island) เป็นหนึ่งในเกาะกลางที่ชื่นชอบในอะซอเรส มี Horta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะซึ่งเป็นท่าจอดเรือยอทช์ที่มีชื่อเสียง  
เกาะปิโก (Pico Island) เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอะซอเรส  ‘Pico’ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอะซอเรสและโปรตุเกส โดยมีกรวยภูเขาไฟที่สูงถึง 2,350 เมตร
นอกจากนี้ยังมี หมู่บ้าน และโบสถ์เก่าแก่ที่น่าไปเยือนที่ เกาะเซาจอร์จ (Sao Jorge Island), เกาะฟลอเรส (Flores Island) และเกาะคอร์โว (Corvo Island) ซึ่งเกาะที่เล็กที่สุดของอะซอเรสอีกด้วย

Most Beautiful Places in the World #28 – ‘หน้าผาแห่งโมเฮอร์’ (Cliffs of Moher, Ireland)
ตั้งอยู่ที่เมืองแคลร์ บนเส้นทางมหาสมุทรแอตแลนติก (Wild Atlantic Way) บนชายฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์ สามารถมองเห็นหมู่เกาะอารันและอ่าวแกลเวย์ได้อย่างชัดเจน
ทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดแห่งนี้มาพร้อมกับตำนานของชาวไอริชสุดจินตนาการมากมาย เช่น ตำนานนางเงือกแห่งโมเฮอร์ เรื่องราวของชาวประมงที่ตกหลุมรักนางเงือก, ‘Kilstiffen’ เมืองที่สาบสูญ ที่ได้รับการกล่าวขานว่ายังคงจมอยู่ใต้น้ำจนกว่าจะได้กุญแจสีทองเพื่อเปิดประตูปราสาท…  
เชื่อกันว่าหน้าผาแห่งโมเฮอร์มีอายุมากกว่า 320 ล้านปี เมื่อแม่น้ำสายเก่าแก่ของไอร์แลนด์ไหลลงจากบนภูเขาและพัดพาโคลนและทรายจำนวนมหาศาลลงสู่ทะเล และก็เริ่มสะสมตะกอนที่ก้นทะเลกลายเป็นหินชั้นตะกอนหินทรายและโคลนที่บดอัด หินทรายและหินดินดานจากแอ่งตะกอนใต้ทะเลโบราณเหล่านี้ก่อตัวเป็นหินแข็งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
หน้าผามีความสูงประมาณ 120 เมตร (390 ฟุต) เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกที่บริเวณหิน Hag’s Head ทางตอนใต้สุด ถึงความสูงสูงสุด 214 เมตร (702 ฟุต) ทางเหนือของหอคอยโอไบรอัน (O’Brien’s Tower) หอสังเกตการณ์สไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นในปี 1835
หน้าผาแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในด้านทัศนียภาพอันงดงามของมหาสมุทรแอตแลนติก การก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่อยู่ของนกมากกว่า 30,000 คู่ที่อาศัยอยู่บนหน้าผา เช่น นกคิตติเวก เหยี่ยวเพเรกริน และนกพัฟฟินแอตแลนติก
ในปี 1987 มาดามมารี แอนน์ เดอ โบเวต นักเขียนชาวฝรั่งเศส เขียนบรรยายไว้ว่า : “หน้าผาแห่งโมเฮอร์มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์เหนือกว่าจุดอื่นๆ ทั้งหมดของเมืองแคลร์ ลองนึกภาพการเข้าถึงกำแพงหินสีดำยาวหลายไมล์ที่สูงถึง 600 ฟุตเหนือมหาสมุทร มุมที่ก่อตัวขึ้นเหมือนป้อมปราการที่ทอดข้ามถ้ำที่น่ากลัวทางด้านล่าง ซึ่งอาจเห็นปีกสีขาวของนกทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน”  
หน้าผาแห่งโมเฮอร์ได้รับสถานะเป็นอุทยานธรณีโลก (Global Geo Park) โดยองค์การ UNESCO ในปี 2011

Most Beautiful Places in the World #29 – ‘อุทยานแห่งชาติเดนาลี’ (Denali National Park, Alaska)
ยอดแหลมของภูเขาหินแกรนิตที่เต็มไปด้วยหิมะสูงตระหง่านของอุทยานแห่งชาติเดนาลี ครอบคลุมพื้นที่รกร้างและแนวเทือกเขาอลาสก้าถึง 9,492 ตารางไมล์
ชาวอะทาบาสก์ (Athabascans) อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้หลายชั่วอายุคน แต่การตั้งถิ่นฐานถาวรที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในปี 1905 เดนาลีได้รับการกำหนดให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลระหว่างประเทศในปี 1976 และเปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์เดนาลีในปี 2015
ยอดเขาเดนาลี (Mount Denali) ซึ่งเป็นชื่อที่เป็นชื่อที่ชาวอะทาบาสก์ใช้เรียกซึ่งมีความหมายว่า “The Tall One” ถือเป็นจุดสูงสุดในสหรัฐอเมริกาและในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดเขาของโลกที่เป็นเป้าหมายในฝันสำหรับนักปีนเขาหลายคน มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 20,310 ฟุต (6,190 เมตร) ต่อมาประธานาธิบดีบารัค โอบามาเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ภูเขาแมคคินลีย์’ (Mt. McKinley) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนที่ 25 วิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley)
ภูมิประเทศที่หลากหลายของอุทยานประกอบด้วย ภูเขาที่สวยงาม แม่น้ำ และทะเลสาบ ทุ่งหญ้าอัลไพน์ ทิวทัศน์อันกว้างไกล และหุบเขาธารน้ำแข็งหลายแห่งที่เคลื่อนตัวออกไปทางทิศใต้ และยังครอบคลุมป่าแถบเหนือและป่าทุนดราอาร์กติก ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่มีเฉพาะแถบรอบๆ ขั้วโลกเหนือ และบางส่วนของขั้วโลกใต้
ไม่ใช่แค่ภูเขาเท่านั้นที่ทำให้อุทยานแห่งชาติเดนาลีเป็นสถานที่พิเศษ พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 37 ชนิด ตั้งแต่ตัว ลิงซ์ กระรอกดินอาร์กติก ไปจนถึงสุนัขจิ้งจอก และกระต่ายสโนว์ชู รวมถึง วูฟเวอรีน ในขณะที่มีการพบเห็นนกกว่า 130 ชนิดรวมทั้งนกอินทรีสีทองที่หายาก และไม้ดอก ไลเคน และมอสมากกว่า 650 ชนิด อย่างไรก็ตามผู้เข้าชมส่วนใหญ่ต้องการชมสัตว์ “บิ๊กไฟว์” ของอลาสก้าโดยเฉพาะ เช่น กวางมูส กวางคาริบู หมาป่า แกะดัลล์ และหมีสีน้ำตาล หรือ หมีกริซลี่
*** ภูเขาที่สูงที่สุดในแต่ละทวีปของโลกทั้งเจ็ด ได้แก่: เอเวอร์เรสต์ (8,850 ม.), อาคอนคากัว (6,962 ม.), เดนาลี (6,190 ม.), คิลิมันจาโร (5,895 ม.), เอลบรุส (5,642 ม.), ภูเขาวินสัน (4,892 ม.) และ คาร์สเตนซ์พีระมิด หรือ ‘ยอดเขาปุนจะก์จายา’ (4,884 ม.)

Most Beautiful Places in the World #30 – ‘แกรนด์แคนยอน’ (Grand Canyon, Arizona)
เป็นช่องเขาที่ลึกเป็นไมล์ทางตอนเหนือของรัฐแอริโซนา ได้รับสถานะเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 1919 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1979
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแคนยอนอาจก่อตัวขึ้นเมื่อ 5 ถึง 6 ล้านปีก่อนเมื่อแม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านตัดร่องชั้นหิน ชั้นต่างๆ บนกำแพงหุบเขาเป็นเวลาหลายล้านปี แต่การศึกษาในปี 2012 มีสิ่งที่น่าตกใจอย่างแท้จริงซึ่งชี้ให้เห็นว่ากระบวนการนี้อาจเริ่มย้อนหลังไปถึง 70 ล้านปีก่อน ตะกอนที่ถูกทับถมเป็นชั้นๆใต้ท้องทะเล การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในมหาสมุทร หรือการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่ยกตัวสูงขึ้นทำให้เกิดที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ ก่อนที่จะถูกการกัดเซาะของน้ำและลมต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายล้านปีจนเกิดเป็นภูมิประเทศที่มหัศจรรย์เหมือนในปัจจุบัน
นักโบราณคดีได้หลักฐานว่ามีมนุษย์อาศัยต้องย้อนหลังไปเกือบ 12,000 ปี มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตั้งถิ่นฐานอยู่ในและรอบๆ หุบเขาเป็นครั้งแรกในช่วงสุดท้ายของยุคน้ำแข็ง เป็นช่วงที่แมมมอธ สลอธยักษ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อื่นๆ ยังคงท่องไปในทวีปอเมริกาเหนือ
ชาวอเมริกันพื้นเมืองอาศัยอยู่ที่นี่หรือใกล้กับแกรนด์แคนยอนเป็นเวลาอย่างน้อยในช่วง 4,000 ปีที่ผ่านมาโดยกลุ่มแรกคือชาวอนาซาซีชาว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอเมริกันพื้นเมืองที่อยู่ในสี่พื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกา คือนิวเม็กซิโก แอริโซนา โคโลลาโด และยูทาห์ คนยุโรปกลุ่มแรกที่ไปถึงแกรนด์แคนยอนคือนักสำรวจชาวสเปนในช่วงทศวรรษที่ 1540
ความลึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแกรนด์แคนยอนอยู่ใต้ขอบของมันมากกว่าหนึ่งไมล์ (ประมาณ 6,000 ฟุต) ส่วนที่ลึกที่สุดและสวยงามตระการตาที่สุดมีความยาว 56 ไมล์ (90 กม.) อยู่ในตอนกลางของอุทยานฯ ซึ่งครอบคลุมความยาวของแม่น้ำโคโรราโดจาก ‘ทะเลสาบเพาเวลล์’ (Lake Powell) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนเกลนแคนยอนในปี 1963 ถึง ‘ทะเลสาบมี้ด’ (Lake Mead) ที่เกิดจากการสร้างเขื่อนฮูเวอร์ในปี 1936
แกรนด์แคนยอยด้านฝั่งทิศใต้ (South Rim) เป็นส่วนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดของอุทยานแห่งชาติโดยมีสถานที่มากมายที่นักท่องเที่ยวสามารถไปชมทิวทัศน์ได้ มีความสูงประมาณ 6,500 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ส่วนฝั่งแกรนด์แคนยอนฝั่งทิศเหนือ (North Rim) ซึ่งสูงกว่าฝั่งใต้ 1,200 ฟุตไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะไปได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพอากาศเลวร้ายในฤดูหนาว
** (แม่น้ำโคโลราโด มีความยาวประมาณ 2,330 กิโลเมตร)

จำนวนผู้เข้าชม 17 ครั้ง