
29
Oct
อเมริกา
Most Beautiful Places in the World – สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก
Most Beautiful Places in the World #1 – อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park)
One World Tour ได้รวมสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจ และสวยงามที่สุดมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จากสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าประทับใจไปจนถึงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง เมืองโบราณในฝันที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทำให้นักสำรวจต้องตะลึง ซึ่งเป็นเพียง 1% ของสิ่งมหัศจรรย์แพร่กระจายไปทั่วโลก และนี่คือสถานที่สวยงามจากทั่วโลกที่ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง และเราอยากแบ่งปัน…
อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกและสำคัญที่สุดของอเมริกาก่อตั้งขึ้นในปี 1872 และยังถือว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,500 ตารางไมล์ จากไวโอมิง ถึงไอดาโฮ และมอนทาน่า
นอกเหนือจากทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาร็อกกี้แล้วอุทยานแห่งนี้ยังเป็นแหล่งอนุรักษ์สัตว์ป่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีสัตว์ป่ามากมายในเยลโลว์สโตน เช่น หมีกริซลี่ หมาป่า กวางมูส กระทิง แบดเจอร์ นาก สิงโตภูเขา เป็นต้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานฯ หญ่ตั้งอยู่ภายใน ‘แคลดีราภูเขาไฟโบราณ’ หรือ ปล่องภูเขาไฟที่ระเบิดแล้ว การปะทุครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 600,000 ปีก่อน
ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของลักษณะความร้อนใต้พิภพของโลกอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโต ประมาณ 500 แห่งและมีจุดระบายความร้อน 10,000 แห่ง น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล (Old Faithful Geyser) ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ทะเลสาบเยลโลว์สโตน (Yellowstone Lake) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานฯ มีพื้นที่ประมาณ 136 ตารางไมล์และมีความลึกเฉลี่ย 139 ฟุต จุดที่ลึกที่สุด 390 ฟุต เป็นทะเลสาบยอดนิยมในการตั้งแคมป์ นั่งเรือตกปลา และเดินป่า
แกรนด์แคนยอนเยลโลว์สโตน (Grand Canyon of the Yellowstone) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในอุทยานฯ หุบเขาหน้าผาสะท้อนแสงดวงอาทิตย์สร้างสีสันน่าประทับใจมีความยาวถึง 20 ไมล์ กว้าง 4,000 ฟุต ลึก 1,200 ฟุต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของอุทยานฯ
สิ่งมหัศจรรย์มีอยู่มากมายในอุทยานฯ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น แกรนด์แคนยอนเยลโลว์สโตน น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล ไปจนถึงสัตว์ป่ามากมาย เช่น ฝูงควายที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และหมาป่าเยลโลว์สโตนที่ห่างหายไปนานจากป่าเกือบศตวรรษ

Most Beautiful Places in the World #2 – หุบเขาสายรุ้งตันเซี๋ย, จีน (Zhangye Danxia Landform, China)
อุทยานทางธรณีแห่งชาติเมืองจางเย่ (Zhangye Danxia) อดีตเมืองจุดแวะพักบนเส้นทางสายไหม (Silk Road) อยู่ทางทิศตะวันออกของเทือกเขาเทือกเขาฉีเหลียน (Qilian) มณฑลกานซู่ (Gansu) ทางตอนเหนือของประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร (19 ตารางไมล์)
หน้าผาสีแดงสูงชันจำนวนมากลักษณะรูปร่างแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์คล้ายยอดของปราสาท หรือหอคอยสูงที่เมื่อมองผ่านหมอกและเมฆทำให้เกิดทิวทัศน์ที่เหมือนภาพลวงตา ซึ่งส่วนใหญ่มีความสูงหลายร้อยเมตร แนวสันเขาหลากสีที่ผุกร่อนและบางครั้งทอดยาวไปถึงขอบฟ้าดูยิ่งใหญ่ งดงาม แข็งแรงและมีพลัง
ประมาณ 540 ล้านปีก่อนพื้นที่นี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรเนื่องจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกแผ่นดินจึงพับและก่อตัวเป็นภูเขาและยกขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล หินทรายสีแดงถูกทับถมในแม่น้ำก่อตัวขึ้นบริเวณนี้ เมื่อดินจมลงในแอ่งหินโคลนที่ทับถมบนหินทรายสีแดงในช่วงเวลาต่างๆ หินตะกอนที่มีสวนผสมของเกลือและเหล็กได้ก่อตัวขึ้นทำให้แต่ละชั้นหินจึงมีสีต่างกัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตะกอนที่ก่อตัวขึ้นจึงมีสีแดง สีแดงอมม่วง สีเขียวอมเหลือง สีเขียวอมเทา และสีเทาต่างกันทุกชั้นซึ่งใช้เวลาหลายพันปี
การเคลื่อนตัวของเทือกเขาหิมาลัยทำให้พื้นที่สูงขึ้น และเกิดการกัดเซาะของแม่น้ำทำให้เกิดช่องเขาและภูมิทัศน์ ตันเซี๋ยในยุคแรกถูกสร้างขึ้นจากการกัดเซาะของแม่น้ำ และลมทำให้เกิดชั้นสีสันที่เราเห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Rainbow Mountains”
หุบเขาสายรุ้งตันเซี๋ยได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2010 เนื่องจากคุณค่าทางธรรมชาติและความงาม และนี่คือจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

Most Beautiful Places in the World #3 – อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเตโอร่า (The Holy Meteora Monasteries)
อารามเมเตโอร่าสร้างขึ้นในสมัยไบแซนไทน์ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในกรีซเมื่อหลายศตวรรษก่อน ตั้งอยู่บนโขดหินขนาดมหึมา ความสูงมากกว่า 600 เมตร คำว่า ‘Meteora’ ในภาษากรีกแปลว่า “ลอยอยู่กลางอากาศ” และวลีนี้อธิบายได้อย่างเหมาะเจาะกับอารามกรีกออร์โธดอกซ์ที่น่าทึ่งเหล่านี้
อารามเมเตโอร่าไม่เพียงแต่ให้ทัศนียภาพที่น่าทึ่งของภูมิทัศน์โดยรอบเท่านั้น แต่ยังมีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของชีวิตสงฆ์ในยุคกลางอีกด้วย
อารามเมเตโอร่าตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคาลัมบาก้า (Kalambaka) ใกล้กับเทือกเขาพินดัส ห่างจากกรุงเอเธนส์ไปทางเหนือประมาณ 360 กม. จากการศึกษาพบว่าหินเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเมื่อ 60 ล้านปีก่อน เมื่อการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศและแผ่นดินไหวทำให้ภูเขาหินเหล่านี้มีรูปร่างอย่างในปัจจุบัน
ระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 16 มีอาราม 24 แห่งในกรีซที่สร้างขึ้นบนเสาหินทรายขนาดยักษ์ แต่มีเพียง 6 แห่งเท่านั้นที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
1.Holy Monastery of Great Meteoron อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเตโอร่าที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในบรรดาอารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเมเทโอราก็สูงที่สุดเช่นกันโดยสูงกว่า 615 เมตร
2.Holy Monastery of Varlaam อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งวาร์ลาอัมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอารามเมเทโอรา
3.Holy Monastery of Rousanou อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งรูซานูอยู่ในระดับต่ำกว่าอารามอื่น ๆ อีก 6 แห่ง เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เข้าถึงได้ง่ายด้วยสะพานที่ได้รับการบูรณะใหม่ ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 16
4.Holy Monastery of St. Nicholas Anapafsas อารามศักดิ์สิทธิ์แห่งเซนต์นิโคลัส อนาโปซาส เป็นอารามขนาดค่อนข้างเล็กเนื่องจากสร้างบนมีพื้นที่จำกัด
5.Holy Monastery of St. Stephen อารามแห่งเดียวในเมเทโอราที่มองเห็นได้จากเมืองคาลัมบาก้า และเข้าถึงได้ง่ายที่สุดด้วยสะพานข้ามเล็กๆ
6.Holy Monastery of Holy Trinity อาจเป็นที่รู้จักมากที่สุดของอาราม เมเตโอรา เพราะเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์ 007 ปี 1981 ตอน For Your Eyes Only
ปัจจุบันเมเทโอราเป็นแหล่งโบราณคดีที่ใหญ่ที่สุดของกรีซ นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1989 และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการของกรีซตั้งแต่ปี 1995 เสาหินขนาดยักษ์ที่ซับซ้อนจำนวนมากพร้อมด้วยอารามที่สร้างขึ้นบนหน้าผาหินทรายที่คัดสรรมาเมื่อหลายศตวรรษก่อนสร้างภูมิทัศน์เหนือจริงที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก

Most Beautiful Places in the World #4 – แม่น้ำหลี่ (Li River, China)
เป็นทางน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนและตั้งอยู่ในจังหวัดทางตอนใต้ของกว่างซี มีต้นกำเนิดในเทือกเขาเหมาเอ๋อ (เขตซิงอัน) ตอนเหนือแม่น้ำไหลไปทางทิศใต้ผ่านกุ้ยหลิน Guilin และหยางซั่ว Yangshuo ระยะทางประมาณ 83 กิโลเมตร
ส่วนบนของแม่น้ำหลี่ นี้ยังมีคลองหลิงฉวีโบราณ (Lingqu) ในขณะที่ส่วนของแม่น้ำหลี่ระหว่างกุ้ยหลิน และหยางซั่วถือเป็นจุดที่สวยงามและสวยงามที่สุด และแม่น้ำหลี่ยังใช้เป็นภาพถ่ายบนธนบัตร 20 หยวนของจีน
แม่น้ำหลี่เป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์ของกุ้ยหลินซึ่งมีประวัติอันยาวนาน อันที่จริงเมื่อประมาณแปดพันปีก่อนชุมชนดั้งเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ใน 214 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ประสงค์ให้ขุดคลองหลิงฉวี ซึ่งนับว่าเป็นคลองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ในสมัยราชวงศ์ซ่งแม่น้ำหลี่เป็นที่รู้จักในด้านความสวยงามและเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมทั่วประเทศจีน ในปี 1982 สภาแห่งรัฐถือว่าเขตชมวิวแม่น้ำหลี่เป็นสถานที่ที่มีความงดงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
แม่น้ำหลี่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิมตั้งแต่นาข้าวและชาวบ้านในท้องถิ่นไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย เช่น
ถ้ำขลุ่ยอ้อ (Reed Flute Cave) เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในการเยี่ยมชมริมแม่น้ำหลี่ มีหินงอกหินย้อยมากมาย
เนินเขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเป็นภูเขา karst ที่มีรูปร่างเหมือนงวงช้างลงไปในน้ำ
สวนเจ็ดดาว (Seven Star Park) สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยหลินตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหลี่

Most Beautiful Places in the World #5 – หุบเขาโมนูเมนต์ (Monument Valley Park)
หรือที่ชาวเผ่านาวาโฮ (Navajo) รู้จักในชื่อ ‘Tse’Bii’Ndzisgaii’ เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์และชายแดนทางตอนเหนือของรัฐแอริโซนา เป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งและถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก
ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมาพลังแห่งลมและน้ำได้หล่อหลอมให้ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของเขตสงวนของชนชาตินาวาโฮ (Navajo Nation) ซึ่งเป็นอินเดียนแดงกลุ่มใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา
วัฒนธรรมนาวาโฮได้หยั่งรากลึกหลายศตวรรษก่อนที่ชาวสเปนจะเข้ามาในพื้นที่ในปี 1581 และลูกหลานของพวกเขา 250,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่กว่า 16 ล้านเอเคอร์
ก่อนการดำรงอยู่ของมนุษย์ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นแอ่งที่ราบลุ่มเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี พลังธรรมชาติของลมและน้ำที่กัดเซาะแผ่นดินในล้านปีที่ผ่านมา การสึกกร่อนของชั้นหินที่เปลี่ยนแปลงได้เผยให้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของหุบเขาโมนูเมนต์ในปัจจุบัน
แท่งหินทรายขนาดมหึมาสูงตระหง่านโดดเดี่ยวล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายว่างเปล่าสุดสายตาได้รับการถ่ายทำภาพยนต์ และถ่ายภาพนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่าน หุบเขาอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มีผลงานชิ้นเอกจากหินทรายที่ตั้งตระหง่านที่ความสูง 400 ถึง 1,000 ฟุตเหนือพื้นหุบเขา เมื่อรวมกับสภาพแวดล้อมของทะเลทรายทำให้กลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกอย่างแท้จริง

Most Beautiful Places in the World #6 – พุกาม ‘ดินแดนแห่งเจดีย์พันองค์’ (Bagan, Myanmar)
หรือ ‘เขตโบราณคดีพุกาม’ เป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พุกามตั้งอยู่บนโค้งของแม่น้ำอิระวดีในที่ราบตอนกลางของเมียนมาร์เป็นภูมิทัศน์อันศักดิ์สิทธิ์ที่มีงานศิลปะและสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาที่โดดเด่น แสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของอารยธรรมพุกาม (ศตวรรษที่ 11-13 ก่อนคริสต์ศักราช)
พุกามเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรพุกามตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึง 13 ป็นอาณาจักรแรกที่รวมพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศเมียนมาร์ เช่นเดียวกับพุทธศาสนานิกายเถรวาทในภูมิภาคนี้ ช่วงเวลาแห่งการเติบโตของอาณาจักร วัดกว่า 10,000 แห่งถูกสร้างตั้งตระหง่านเหนือที่ราบมัณฑะเลย์ รอบเมืองหลวงที่ติดกับแม่น้ำอิระวดี
ในช่วงปีค.ศ. 1044 พระเจ้าอโนรธามังช่อ สามารถรวบรวมแผ่นดินและก่อตั้งอาณาจักรพุกามขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของอาณาจักรพุกาม (1044-1077) อาณาจักรพุกามกลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดในดินแดนพม่า
จนกระทั่งกองกำลังของกุบไลข่านเข้ายึดครองในปี 1287 นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรพุกาม ไม่มีวันที่จะฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีตอย่างไร ในที่สุดเมืองนี้ก็ถูกลดลงเหลือเพียงการตั้งถิ่นฐานเล็กๆ อย่างไรก็ตามพื้นที่นี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการแสวงบุญของชาวพุทธ
ปี 1975 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองพุกามซึ่งสร้างความเสียหายให้กับวัดหลายแห่ง ในช่วงปี 1990 รัฐบาลพม่าได้มีการบูรณะวัดและเจดีย์หลายแห่งที่เสียหาย แต่น่าเสียดายที่การบูรณะไม่ได้ทำโดยคำนึงถึงแนวคิดทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิม โบราณจำนวนมากได้รับความเสียหายอีกครั้งในจากแผ่นดินไหวในปี 2016 ปัจจุบันโบราณสถานซึ่งรวมทั้งวัดและเจดีย์ที่มีการบันทึกไว้มีเพียง 3,595 แห่งเท่านั้นที่ยังคงอยู่
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2019 พุกามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ทำให้พุกามเป็นมรดกโลกแห่งที่สองในพม่าต่อจาก กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities) ในปี 2014

Most Beautiful Places in the World #7 – วิหาร อัล เดอีร์, นครเพตรา (El Deir (The Monastery)
Petra, Jordan แหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและภูเขากลางทะเลทรายซึ่งปัจจุบันคือฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ระหว่างทะเลแดงและทะเลเดดซี ครั้งหนึ่งเพตราเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่เฟื่องฟูและเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรนาบาเทียนระหว่าง 400 ปีก่อนคริสตกาล ถึงค.ศ.106
เมื่อกรุงโรมเข้าครอบครองเพตราอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.106 ความสำคัญในการค้าระหว่างประเทศเริ่มลดลงเมืองเริ่มความเสื่อมโทรม และถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ
ชื่อภาษาอาหรับ “Ad Deir” (อาราม) (الدير) หรือที่เรียกว่า el Deir ถูกมอบให้โดยชาวเบดูอินพื้นเมือง เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่แกะสลักจากหินทรายโดยชาวนาบาเทียน สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของกษัตริย์นาบาเทียน โอโบดาสที่ 1 (Nabataean King, Obodas I) ซึ่งครองราชย์ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช
จะเห็นได้ว่าว่าชาวนาบาเทียนผสมผสานประเพณีทางศิลปะของตะวันออกและตะวันตกในรูปแบบที่แตกต่างและไม่เหมือนใครได้อย่างกลมกลืน ด้านหน้าของซุ้มประตู กว้าง 24.9 เมตร สูง 38.77 เมตร แสดงให้เห็นถึงสไตล์สถาปัตยกรรมเฮลเลนิสติกได้ชัดเจนที่สุดและสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในขณะนี้สถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นจั่วและเสากลาง มีการใช้เสาโครินเธียน (Corinthian) เหนือฐานของเสาโอเบลิสก์สองด้านที่เกาะสลักเข้าไปในหิน
การตกแต่งประติมากรรมยังเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงกับเฮลเลนิสติกที่ชั้นบนขนาบข้างด้วยรูปสลักผู้หญิงตรงกลาง ซึ่งน่าจะเป็นเทพีไอซิส (Isis) ธิดาของเทพรา (RA) สุริยเทพผู้ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ และเทพีไทคี (Tyche) เทพีแห่งโชคลาภ บุตรีของซุส (Zeus) ซึ่งเป็นการรวมกันของความเชื่อของชาวอียิปต์และกรีก
ชั้นล่างมีเทพเจ้าฝาแฝดของกรีก เทพคาสเตอร์-พอลลักส์ (Castor and Pollux) ซึ่งเป็นบุตรชายของเทพจูปีเตอร์ ผู้ปกป้องนักเดินทางและคนตายในการเดินทาง ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะของกับเฮลเลนิสติก ได้แก่ รูปสลักนกอินทรีที่สัญลักษณ์ของราชวงศ์ปโตเลมี
ในช่วงต้นปี 1800 นักท่องเที่ยวชาวยุโรปคนหนึ่งได้ปลอมตัวในชุดเบดูอินและแทรกซึมเข้าไปในสถานที่ลึกลับแห่งนี้ และฉากหลายฉากจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Indiana Jones และ Last Crusade ถ่ายทำในนครเพตรา ในปี 1985 อุทยานโบราณคดีแห่งเพตรา ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และในปี 2007 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก

Most Beautiful Places in the World #8 – นาขั้นบันได ‘มู กาง จ๋าย’ เวียตนาม (Mù Cang Chả, Vietnam)
ลึกลงไปในหุบเขาที่ตระหง่านเหนือผืนแม่แม่น้ำแดง มีหมู่บ้านบนภูเขาหลากสีสันที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนเป็นทางขึ้นไปสู่สวรรค์เบื้องบน
เมืองบนภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดเอียนบ๊าย (Yên Bái) ห่างจากฮานอยประมาณ 300 กม. ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรมีลักษณะภูมิประเทศพิเศษที่มีเนินเขาสูงชันและหุบเขาลึกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่น
หลายศตวรรษที่ผ่านมาบรรพบุรุษของชาวเขาในท้องถิ่นของเวียดนามตอนเหนือได้สร้างสถานที่แห่งนี้ซึ่งสามารถใช้งานได้จริงและมีความงามที่ลึกซึ้งด้วยเหตุผลพื้นฐานที่สุดนั่นคือ ‘เพื่อความอยู่รอด’
ข้าวเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีน้ำขังทำให้เหมาะสำหรับพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่ถูกน้ำท่วมทางตอนใต้ของประเทศ แต่ในการปลูกข้าวในสภาพภูเขาในแนวตั้งนี้ ชาวเขาได้สร้างระบบขั้นบันไดเพื่อควบคุมการไหลลงของน้ำโดยใช้ความเฉลียวฉลาดความมีไหวพริบ การทำงานที่เหนื่อยล้าอย่างเต็มนี้ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความงดงามที่น่าทึ่ง และยังคงเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน
ทุกปีระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมทุ่งนาขั้นบันไดของมู กาง จ๋าย สีสันแห่งการเก็บเกี่ยวที่งดงามท่ามกลางรุ่งอรุณที่สดชื่นและชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้าง นาข้าวหลายร้อยขั้น ระเบียงคดโค้งแม้จะสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ แต่ก็ดูกลมกลืนกับภูมิประเทศอย่างสมบูรณ์ สีของต้นข้าวที่สุกจากสีเขียวกำลังเปลี่ยนเป็นสีทองและสีน้ำตาลเป็นประกาย คล้ายเป็น ‘โรงละครแห่งข้าว’ (สำหรับการเก็บเกี่ยวซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละปีขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) ซึ่งในนาขั้นบันไดทางตอนเหนือของเวียดนามสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
โดยรวมแล้วนาขั้นบันไดครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,200 เฮกตาร์ในมู กาง จ๋าย ซึ่งมีถึง 500 แห่งที่ได้รับการกำหนดให้เป็นมรดกแห่งชาติโดยกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวของเวียดนามในปี 2007
มู กาง จ๋ายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนกว่า 42,000 คนโดยส่วนใหญ่เป็นชนบทชนบทเต็มไปด้วยบ้านเรือน เกสต์เฮาส์ และโฮมสเตย์แบบเรียบง่าย

Most Beautiful Places in the World #9 – เกาะซานโตรินี (Santorini Island in Greece)
หนึ่งในจุดหมายปลายทาง เกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรีซ และอาจเป็นเกาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ‘ซานโตรีนี’ หรือ ‘เธียรา’ (Thera) เป็นเกาะกรีกทางตอนใต้ของทะเลอีเจียนและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซิคละดีส (Cyclades) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ‘เฮโรโดทัส’ กล่าวว่าคนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่คือชาวฟินีเซียนในศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสต์ศักราชซึ่งให้ชื่อเกาะว่า Kallisti (สวยงามที่สุด) เนื่องจากความหลงใหลในความงามที่ไม่ธรรมดาของเกาะนี้ ประมาณหนึ่งศตวรรษต่อมาชาวดอเรียน (Dorians) จากสปาร์ตาได้เข้ามาตั้งรกรากที่เกาะและตั้งชื่อนี้ว่า ‘เธียรา’ (Thera) ตามชื่อราชาในตำนานของพวกเขา
แต่ใน 426-425 ปีก่อนคริสตกาลซานโตรินีเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเอเธนส์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน หลังจากการล่มสลายของคอนสแตนติโนเปิลไปสู่สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในปีค.ศ.1204 ซานโตรีนีและเกาะอื่น ๆ ในทะเลอีเจียนตกไปอยู่ในอำนาจการปกครองของมาร์โก ซานูโด (Duchy of Naxos) ชาวเวนิส ชื่อ ‘ซานโตรีนี’ ได้รับจากสงครามครูเสดตามโบสถ์เซนต์ไอรีน (Santa Irini-ซานตา อิรินี)
ระหว่างปี 1579-1821 เกาะนี้อยู่ภายใต้การปกครองของตุรกี และชาวเติร์กตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Dermetzik ซึ่งแปลว่า ‘โรงสีขนาดเล็ก’ อาจเป็นเพราะมีกังหันลมจำนวนมากบนเกาะ และถูกผนวกเข้ากับกรีซในปี 1912 ในสงครามประกาศอิสรภาพของกรีก
จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ซานโตรีนีมีการค้าขายทางเรือที่เฟื่องฟูและการส่งออกสินค้า ได้แก่ ฝ้ายสิ่งทอผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและไวน์ ความเจริญรุ่งเรืองนี้สิ้นสุดลงในปี 1956 หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวตามมาด้วยการปะทุของภูเขาไฟซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก การอพยพและถูกทิ้งร้างแผ่ขยายไปทั่วเกาะจนถึงปี 1970 หลังจากนั้นเริ่มมีการบูรณะฟื้นฟูซานโตรินีขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากทัศนียภาพที่โดดเด่นของปล่องภูเขาไฟแล้ว ยังมีหมู่บ้านที่งดงามและมีเสน่ห์ มากมายในซานโตรีนี แต่ละแห่งมีความสวยงามโดดเด่นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมืองโบราณ รวมถึงผู้คนที่มีอัธยาศัยดี ชายฝั่งที่สวยงาม ไร่องุ่นกว้างใหญ่ และหุบเขาสีเขียวแล้ว ซานโตรีนียังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องพระอาทิตย์ตกที่ต้องมนต์สะกดซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวนับล้านทุกปี

Most Beautiful Places in the World #10 – อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ (The Plitvice Lakes, Croatia)
อุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของโครเอเชีย ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่แห่งความงดงามทางธรรมชาติที่โดดเด่น ต่อมาได้รับสถานะเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1979
อุทยานแห่งชาติครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 300 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ 16 แห่งซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยน้ำตก 90 แห่งที่ซ่อนตัวอยู่ป่าลึก แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทะเลสาบตอนบน’ (Gornja jezera) และ ‘ทะเลสาบตอนล่าง’ (Donja Jezera) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘Great Waterfall’ (Veliki Slap) ที่เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโครเอเชีย สูง 78 เมตร นอกจากนี้ยังมีความสูงที่แตกต่างกันมากจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,280 เมตร ต่ำสุดที่ 380 เมตร
น้ำที่ไหลผ่านหินปูนและตะกอนได้ทับถมไว้เป็นเวลาหลายพันปีทำให้เกิดเขื่อนตามธรรมชาติซึ่งจะทำให้เกิดทะเลสาบ ถ้ำ และน้ำตกที่สวยงามมากมาย กระบวนการทางธรณีวิทยาเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน อุทยานแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด เช่น หมี หมาป่า นาก หมูป่า สกั๊งค์ กระรอก กระต่าย สุนัขจิ้งจอก และนกนานาชนิด
อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโครเอเชียและที่มีเสน่ห์ที่สุดในยุโรปแห่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรื่องราวลึกลับมากมาย เช่น ตำนาน Legend of the Black Queen ที่กล่าวถึงราชินีดำผู้สร้างทะเลสาบ Prošćansko Jezero ซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งแรกของอุทยานฯ หรือ ตำนานของขุมทรัพย์โบราณ (Gavanovo Treasure) ที่เชื่อว่ายังคงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลสาบ Gavanovac Jezero และตำนานของนักบวชผู้ทรงปรีชาญาณที่อาศัยอยู่ในถ้ำ Šupljara หรือ Golubnjača
สีสันสดใสของทะเลสาบและเส้นทางที่เงียบสงบในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเหล่านี้รับประกันได้ว่าจะทำให้คุณหลีกหนีจากเมืองที่วุ่นวายได้แน่นอน

Most Beautiful Places in the World #11 – อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park)
สัญลักษณ์ของความงดงามทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1890 ในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาของแคลิฟอร์เนีย และมีชื่อเสียงในเรื่องหน้าผาที่สูงชัน หุบเขาลึก น้ำตก แม่น้ำ และดงของต้นสนเซควาเอียโบราณ
ชาวอเมริกันพื้นเมืองเป็นผู้อยู่อาศัยหลักของหุบเขาโยเซมิตี จนถึงปี 1849 การตื่นทองได้นำคนงานเหมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานที่ไม่ใช่ชาวอินเดียนหลายพันคนมาสู่ที่นี่และสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศของหุบเขาโยเซมิตี
ในปี 1903 ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodor Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา และ จอห์น มิวเออร์ (John Muir) นักธรรมชาติวิทยาได้มาตั้งค่ายที่ Glacier Point เป็นเวลาสามวัน มิวเออร์เรียกร้องให้รูสเวลต์รักษาและปกป้องสิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของแคลิฟอร์เนีย
“ไม่มีที่ไหนเลยที่คุณจะได้เห็นการดำเนินงานอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกเหนือจากสิ่งที่อ่อนแอที่สุด อ่อนโยนและเงียบสงบที่สุด” มิวเออร์ได้เขียนขึ้นขณะที่เขานั่งตกตะลึงชื่นชมหินแกรนิตขนาดมหึมาและน้ำตกที่ลดหลั่นกันภายในพื้นที่รกร้างของเซียร์ราเนวาดา
อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีมีพื้นที่เกือบ 1,200 ตารางไมล์ทำให้มีขนาดเท่ากับรัฐโรดไอส์แลนด์ของสหรัฐฯ มีนักเดินทางแวะมาเยือนที่นี่ประมาณ 4 ล้านคนต่อปีนั่นเป็นเพราะหุบเขาโยเซมิตีเป็นที่ตั้งของจุดชมวิวและสถานที่สำคัญที่โดดเด่นงดงาม
จุดชมวิวกลาเซียร์พอยท์ (Glacier Point) ซึ่งตั้งอยู่เหนือหุบเขาโยเซมิตีกว่า 4,000 ฟุต การเดินป่านี้จะนำไปพบกับทัศนียภาพอันงดงามของสัญลักษณ์ของโยเซมิตีแบบพาโนรามา เช่น น้ำตกโยเซมิตีที่สูงถึง 2,425 ฟุต ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึง น้ำตกเวอร์นัล (Vernal Fall) และน้ำตกเนวาดา (Nevada Fall) และการก่อตัวของภูเขาฮาล์ฟโดม (Half Dome) และภูเขาเอลแคปปิตอล (El Capitan) ซึ่งเป็นเสาหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และดงของต้นสนเซควาเอียยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Most Beautiful Places in the World #12 – มาชู ปิกชู (Machu Picchu, Peru)
ซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่บนเนินสูงของเทือกเขาแอนดีสยังคงเผยให้เห็นความลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นชักประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคา ในภาษาพื้นเมืองเกชัว (Quechua) คำว่า ‘Machu Picchu’ หมายถึง “Old Peak” หรือ“ Old Mountain”
มาชู ปิกชูสร้างขึ้นในราวปี 1450 และถูกค้นพบในปี 1911 ยังคงซ่อนปริศนาและความลึกลับเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงซึ่งยังคงถูกซ่อนอยู่จนถึงทุกวันนี้และกระตุ้นความสนใจของทั้งผู้มาเยือนและนักโบราณคดีจากทั่วทุกมุมโลก
เชื่อกันว่ามาชูปิกชูสร้างขึ้นโดย Pachacuti Inca Yupanqui ผู้ปกครองคนที่เก้าของอินคา ในช่วงกลางทศวรรษ 1400 ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 7,970 ฟุต (2,430 เมตร) บนทางลาดด้านตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส และสามารถมองเห็นแม่น้ำแม่น้ำอูรูบัมบา (Urubamba River) ด้านล่าง
มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับความหมายของมาชู ปิกชู อินคาบางคนโต้แย้งว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่กษัตริย์อินคา ปาชาคูติ ในขณะที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ จักรพรรดิและครอบครัวจะมาเพื่อพักผ่อนเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ที่น่าสนใจคือที่ประทับของจักรพรรดิเองดูเหมือนจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของพื้นที่ที่รู้จักกันในปัจจุบันในชื่อ “Temple of the Sun” ซึ่งอยู่ติดกัน
ความจริงก็คือมาชูปิกชูเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเบื้องหลังสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมอันน่าประทับใจของอาณาจักรอินคา แม้ว่าต้นกำเนิดของมันจะยังคงเป็นความลับและเป็นเรื่องของการศึกษา แต่คุณค่าและความสำคัญก็แสดงให้เห็นถึงความสง่างามจนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยใหม่
มาชู ปิกชู ได้รับการประกาศโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของมนุษยชาติในปี 1983 อาจเป็นสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของอาณาจักรอินคา ป้อมปราการแห่งนี้ประกอบด้วย วัด พระราชวัง ระเบียง อาคาร และกำแพงเมือง สร้างด้วยหินก้อนใหญ่โดยไม่มีส่วนผสมใดๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมอินคา

Most Beautiful Places in the World #13 – ทะเลสาบโมเรน, แคนาดา (Moraine Lake, Canada)
ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ในอ้อมกอดของเทือกเขาร็อกกี้อันงดงาม ที่ปรากฏอยู่บนด้านหลังธนบัตร 20 ดอลลาร์แคนาดา
อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) เป็นเขตอนุรักษ์แห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดา ก่อตั้งขึ้นในปี 1855 เต็มไปด้วยสถานที่ที่งดงาม และหนึ่งในนั้นคือ ‘ทะเลสาบโมเรน’ ซึ่งเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าทึ่ง อยู่ห่างจากหมู่บ้านเล็กๆ ของทะเลสาบเลค หลุยส์ (Lake Louise) ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพียง 14 กิโลเมตร ธารน้ำแข็งสีเขียวอมฟ้าสดใสเป็นผลมาจากการหักเหของแสงและธารน้ำแข็ง ซึ่งไหลออกมาลงสู่ทะเลสาบที่ระดับความสูง 1,885 เมตร (6,183 ฟุต)
ทะเลสาบโมเรนมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของทะเลสาบเลค หลุยส์ ตั้งอยู่ใน ‘หุบเขาสิบยอดสิบยอด’ หรือ Valley of the Ten Peaks ซึ่งตั้งชื่อตามภูเขาสูงที่ล้อมรอบทะเลสาบอันบริสุทธิ์ หุบเขาสิบยอดนี้ได้รับการตั้งชื่อโดย ซามูเอล อัลเลน ซึ่งเป็นหนึ่งในนักสำรวจที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมืองกลุ่มแรกที่เข้าถึงบริเวณที่นี้
ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคมถนนที่นำไปยังทะเลสาบจะถูกปิดเนื่องจากความเสี่ยงจากหิมะถล่ม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนทะเลสาบโมเรนปลายเดือนมิถุนายน ด้วยระดับน้ำที่ขึ้นสูงและสีที่สดใสของทะเลสาบโมเรนในหุบเขาทั้งสิบที่ตั้งตระหง่านโดยรอบทำให้เกิดฉากที่ลงตัวเหนือจินตนาการนี้ขึ้นมา

Most Beautiful Places in the World #14 – อ่าวฮาลองเบย์ (Halong Bay, Vietnam)
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในอ่าวตังเกี๋ย จังหวัดกว๋างนิญ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามใกล้กับชายแดนจีน ห่างจากเมืองหลวงฮานอย 165 กม.
เกาะหินปูน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ถึง 1,969 เกาะตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้า บางครั้งมีการเปรียบเทียบความงดงามกับกุ้ยหลินในประเทศจีน หรือทะเลกระบี่ และอ่าวพังงาของประเทศไทย พื้นที่พิเศษแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1994
ฮาลองในภาษาเวียดนามหมายถึง ‘ที่ซึ่งมังกรลงสู่ทะเล’ ตามตำนานโบราณเล่าว่าไม่นานหลังจากชาวเวียดนามดั้งเดิมเข้ามาตั้งรกรากในพื้นแผ่นดินนี้ มีผู้รุกรานก็เริ่มเข้าใกล้ชายฝั่งของอ่าวฮาลอง จักรพรรดิหยกได้เรียกมังกรที่ทรงพลังจากท้องฟ้าเพื่อช่วยชาวเวียดนามต่อต้านผู้รุกราน โดยมังกรได้พ่นไข่มุก และอัญมณีต่างออกมาหลายพันเม็ดซึ่งเมื่อกระทบกับมหาสมุทรแล้วก็เกิดเป็นเกาะหินหลายพันเกาะกลายเป็นปราการป้องกันผู้รุกราน ในขณะที่เรือของผู้รุกรานเหล่านี้ได้ชนเกาะหินและอับปางลง เรื่องราวของอ่าวฮาลองนี้ช่วยเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับภูมิทัศน์เหนือจริงที่คงอยู่มาแล้วกว่า 500 ล้านปี!
จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 19 ชื่อของอ่าวฮาลองก็ปรากฏบนแผนที่ทางทะเลของฝรั่งเศส Hai Phong News หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีบทความเรื่องการ ‘ปรากฏตัวของมังกรบนอ่าวฮาลอง’ โดยรายงานว่าพบเห็นงูทะเลขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนมังกรที่อ่าวฮาลองโดยมีลูกเรือหลายคนช่วยกันยืนยัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพมังกรเอเชียในยุโรปส่งผลให้ชื่อ ‘ฮาลองเบย์’ เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ภาพของเรือหลากหลายประเภทตั้งแต่เรือสำเภาไม้ไปจนถึงเรือยอชต์หรูหรา หรือพายเรือคายัคไปพร้อมกันบนผืนน้ำอันเงียบสงบของฮาลองที่มีสีเขียวอมฟ้ายามต้องแสงอาทิตย์ หรือการเฝ้าดูช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลาลับจากเส้นขอบฟ้าก็เป็นบรรยากาศที่น่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม

Most Beautiful Places in the World #15 – เมืองเวนิส, อิตาลี (Venice, Italy)
เมืองที่แสนโรแมนติกตั้งอยู่ในแคว้นเวเนโตของอิตาลี
มีเพียงไม่กี่เมืองที่สามารถอ้างสิทธิ์ในมรดกทางศิลปะและประวัติศาสตร์อันล้ำค่าเช่นเวนิส เมืองที่มีมนต์ขลังและงดงามแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริงของอัจฉริยะด้านการสร้างสรรค์ขึ้นบนเกาะเล็ก ๆ กว่า 100 เกาะในทะเลเอเดรียติก
พื้นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองคือเส้นทางสัญจรของคลองใหญ่ หรือ แกรนด์คาแนลที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
จัตุรัสกลางในเวนิสที่เรียกว่า ‘ปิอัซซา ซาน มาร์โค’ (Piazza San Marco) ที่นี่เป็นที่ตั้งของ ‘ปาลัซโซ ดูกาเล’ หรือ ‘พระราชวังดอจ์ด’ (Palazzo Ducale / Doge’s Palace) ผลงานชิ้นเอกสไตล์โกธิคที่มีสีชมพูและอาคารหินอ่อนสีขาวกับสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของพระราชวังที่เต็มไปด้วยศิลปะประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนซึ่งย้อนกลับไปกว่า 1,000 ปี
หอระฆังโมเสกแบบไบแซนไทน์ที่ตั้งตระหง่านเหนือฝูงชนมากกว่า 300 ฟุต และมหาวิหารเซนต์มาร์กที่ได้รับการชื่นชมอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมอิตาลีที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการเฉลิมฉลองเทศกาลเวนิสคาร์นิวัลทุกปีอีกด้วย
เรือกอนโดลาหนึ่งในสัญลักษณ์ของเวนิสได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม โดยขนาดและรูปร่างไม่ได้เปลี่ยนไปในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 15 เวนิสมีเรือกอนโดลา ถึง 29,000 ลำ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 425 ลำเท่านั้น
อเล็กซานเดอร์ เฮอร์เซน (Alexander Herzen) นักคิดและนักเขียนชาวรัสเซีย ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเวนิสไว้ว่า…
…‘เป็นเรื่องไร้สาระที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันบ้ามากพอที่จะสร้างเมืองที่ไม่เคยมีใครสร้างได้ แต่การสร้างเมืองที่สง่างามและโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลกทำได้เพียงอัจฉริยะที่บ้าคลั่ง’ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงในการสร้างเมืองที่สวยงามเช่นนี้พื้นที่ที่ไม่มีใครอยู่อาศัย – ไม่ใช่บนผืนดิน แต่เป็นบนน้ำ!
เวนิสผ่านช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองและความล่มสลายหลายช่วงเวลา กว่าหนึ่งพันปีและครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์เวนิสมีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากมายไม่ว่าจะเป็นสงครามต่างๆ รวมถึงสงครามครูเสด ปัจจุบันเวนิสเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยว 15 ล้านคนที่มาเยือนเวนิสทุกปี

