เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

วันเสาร์

09.00-13.00 น.

เราช่วยคุณได้

@oneworldtour

Travel License : 11/05298

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

28

Oct

อิตาลี

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

Beautiful Small Towns #16 – ‘วิสบี’ (Visby, Sweden) 
หมู่บ้านแห่งเทพนิยายยุคกลางที่มีเสน่ห์แห่งนี้ ตั้งอยู่ในทะเลบอลติก บนเกาะกอตแลนด์ (Gotland) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1995 เป็นเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในสแกนดิเนเวีย
วิสบีเป็นเมืองฮันซีติกมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 กำแพงล้อมรอบยาว 3.5 กิโลเมตร สูง 11 เมตร โดยมีหอคอยดั้งเดิมจำนวนมากที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ 36 แห่ง และประตูหลักสามประตู กำแพงเมืองนี้เรียกว่า Ringmuren (กำแพงวงแหวน) ตามถนนในเมืองมีอาคารและบ้านเรือนมากกว่า 200 หลัง มหาวิหารวิสบีและกำแพงเมืองถูกสร้างขึ้น ในปี 1361 เมืองวิสบีอยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์ก (Valdemar IV of Denmark) การปกครองของเดนมาร์กยาวนานถึง 300 ปี
ในช่วงปี 1391, 1394 และ 1398 โจรสลัด (กลุ่ม Victual Brothers) ได้ปล้นเมือง ในปีเดียวกันของปี 1398 อัศวินทิวทอนิก (Teutonic Order) ได้แล่นเรือไปยังวิสบีและขับไล่เหล่าโจรสลัดกลุ่มนี้ได้สำเร็จ ในปี 1909 ‘อุลริช ฟอน ญองเงน’ (Ulrich von Jungingen) เป็นประมุขคนที่ 26 ของอัศวินทิวทอนิก ได้ขายเกาะนี้ให้กับราชินี มาร์กาเร็ตแห่งนอร์เวย์ เพื่อรับรองสันติภาพกับ Kalmar Union of Scandinavia*
*( Kalmar Union of Scandinavia – สหภาพสแกนดิเนเวียก่อตั้งขึ้นที่เมืองคาลมาร์ ประเทศสวีเดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1397 ซึ่งนำราชอาณาจักรนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กมารวมกันภายใต้พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวจนถึงปี ค.ศ.1523)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองนี้เคยเป็นบ้านของโจรสลัด ทนต่อความบาดหมาง และถูกเผา (ยกเว้นมหาวิหาร) ในปี ค.ศ. 1645 วิสบีถูกยึดครองและปกครองโดยสวีเดนอีกครั้ง สองสามเดือนในปี 1808 Gotland ถูกรัสเซียยึดครอง แต่ในไม่ช้ามันก็ถูกส่งกลับสวีเดนอย่างสงบ
ตั้งแต่ปี 1984 งานเทศกาลยุคกลาง (Medieval Week หรือ Medeltidsveckan) จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม วิสบีจะเฉลิมฉลองสัปดาห์ยุคกลาง ด้วยตลาดที่มีชีวิตชีวารวมทั้งดนตรีและโรงละคร เป็นเทศกาลยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตอนเหนือ และเป็นงานที่มีชีวิตชีวาซึ่งผู้คนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายและสร้างชีวิตใหม่ในยุคกลาง เป็นประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวาสำหรับผู้มาเยือนทุกวัย

Beautiful Small Towns #17 – ‘คินเซล’ (Kinsale, Ireland) 
เมืองประมงที่มีชื่อเสียงของเคาน์ตี้คอร์ก (County Cork) เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยงาม เป็นที่นิยมและทันสมัยที่สุดบนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์
คินเซลผสมผสานประวัติศาสตร์และความน่ารักได้ดีกว่าเมืองใดๆ บนชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์ อาคารหลายแห่งของเมืองสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 และบริเวณนี้ยังคงรักษาเสน่ห์ของโลกเก่าไว้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากเป็นเมืองทหารรักษาการณ์และเป็นท่าเรือที่สืบเนื่องมาเป็นเวลากว่า 300 ปี จึงเป็นบ้านสไตล์จอร์เจียนอันงดงามและได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมดัตช์
ถนนแคบและคดเคี้ยวและสัมผัสถึงประวัติศาสตร์ 1,000 ปีอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง บ้านเรือนทาสีชมพู ฟ้า เหลือง และเขียว ทำให้คินเซลเต็มไปด้วยบ้านที่มีสีสันที่สุดของไอร์แลนด์ สองฝั่งถนนที่เรียงรายไปแกลเลอรีร้านขายของกระจุกกระจิก บาร์ที่มีชีวิตชีวา และร้านอาหารชั้นเลิศ ท่าเรือธรรมชาติที่สวยงามซึ่งเต็มไปด้วยเรือยอทช์ที่ได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการขนาดใหญ่สมัยศตวรรษที่ 17  
คินเซลมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ตั้งแต่ท่าเทียบเรือประมง เรือเช่าเหมาลำ ไปจนถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ป้อมชาร์ล (Charles Fort) อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง และสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อปกป้องเมืองและปากแม่น้ำ ปราสาทเดสมอนด์ (Desmond Castle) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และเคยเป็นบ้านของเอิร์ลแห่งเดสมอนด์ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่การยึดครองของสเปน เพื่อใช้เป็นที่คุมขังสำหรับลูกเรือชาวอเมริกันที่ถูกจับในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพของอเมริกา เคยใช้เป็นด่านศุลกากร และสถานสงเคราะห์ดูแลคนยากจน ปราสาทเดสมอนด์ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี 1938

Beautiful Small Towns #18 – ‘เป็งลิปุราน’ (Penglipuran, Indonesia) 
หมู่บ้านที่สงบ สะอาด และเงียบสงบที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย ที่ยังคงถูกผูกมัดด้วยขนบธรรมเนียมที่คงอยู่มานานหลายศตวรรษ มักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งยึดถือแนวคิดของ Tri Hita Karana ซึ่งเป็นปรัชญาบาหลีในการสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม
ตามตำนานและคำให้การของคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้าน ชื่อ Penglipuran มาจาก ‘Pengeling Pura’ ซึ่งหมายถึง ‘การระลึกถึงบรรพบุรุษ’ บ่งบอกว่าหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นเพื่อเคารพบรรพบุรุษของพวกเขาที่คินตามานี (Kintamani) เท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็งลิปุรานเป็นหนึ่งในหมู่บ้านของบาหลีที่ผู้คนมักถวายเครื่องบูชาและประกอบพิธีกรรมเพื่อเคารพวิญญาณในตำนาน มีการตีความอื่น ๆ ของคำว่า Penglipuran บางคนบอกว่ามันมาจากคำว่า ‘Pelipur Lara’ ซึ่งหมายถึง ‘การปลอบใจ’ และบางคนอ้างว่า ‘Panglen’ และ ‘Pura’ หมายถึงวัดสี่แห่งที่ตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่
แผนผังของหมู่บ้านได้รับการดัดแปลงมาจากแนวคิด Three Mandalas ของศาสนาฮินดูแบบบาหลี ได้แก่ Parhyangan (พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์), Pawongan (พื้นที่ตั้งถิ่นฐาน) และ Palemahan (สุสาน, พื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ) สร้างตามสถาปัตยกรรมบาหลีแบบดั้งเดิมด้วยวัสดุต่างๆ เช่น หิน ไม้ ปาล์ม และไม้ไผ่ ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
ด้านนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ ปาห์ยันกาน (Parhyangan) จะเห็นป่าไผ่ศักดิ์สิทธิ์ขนาด 45 เฮกตาร์ที่สวยงามให้เดินผ่านและตื่นตาตื่นใจ ตรงกลางจะพบกับวัดที่สวยงามและเรียบง่ายสี่แห่งซึ่งผู้คนจะสวดมนต์และแสดงความเคารพ ภายในพื้นที่ เปวันกาน (Pawongan) มีประตู ลาน ครัว ที่พักอาศัย และพื้นที่ละหมาด หมู่บ้านแห่งนี้ไม่เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆ ในบาหลี เนื่องจากเป็งลิปุรานได้รับการดูแลให้มีความดั้งเดิมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษ
ในพื้นที่ ปาเลมาฮาน (Palemahan) มีสุสานที่ประกอบด้วยสามส่วน ที่บอกถึงการที่ผู้ตายเสียชีวิต และอายุเท่าใด ซึ่งแตกต่างจาก ‘งานศพ’ ของชาวบาหลีทั่วไป    
นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงทุกคนก็อยู่กันอย่างกลมกลืนและเป็นมิตรอย่างยิ่ง พวกเขาจะให้การต้อนรับที่ดีที่สุดแก่ผู้มาเยือนแม้ในขณะที่คุณก้าวเข้ามาในบ้านของพวกเขาเพียงเล็กน้อย ยิ่งเป็นเหตุผลสำหรับผู้ที่สนใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นที่จะมาเยี่ยมชมหมู่บ้านอันเงียบสงบแห่งนี้
เป็งลีปูรันได้รับเลือกให้เป็นหมู่บ้านที่สะอาดที่สุดอันดับ 3 ของโลกตามนิตยสารนานาชาติ Boombastic ในปี 2560 ได้รับรางวัลการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของอินโดนีเซีย (ISTA) จากนั้นในปี 2560 ก็ได้รับการจัดอันดับให้ดีที่สุดในหมวดการอนุรักษ์วัฒนธรรม

Beautiful Small Towns #19 – ‘พาราตี’ (Paraty, Brazil) 
เกาะเล็กๆ ชายหาด และอ่าวต่างๆ อยู่ในรัฐรีโอเดจาเนโรและเซาเปาโล ตั้งอยู่ในระหว่างเทือกเขา Serra do Mar อันตระหง่านหรือที่รู้จักในท้องถิ่นว่า Serra da Bocaina และมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองชายฝั่งประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์ หนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดของบราซิล และเป็นศูนย์กลางอาณานิคมโปรตุเกสที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างประณีต ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติตั้งแต่ปี 1966
หมู่บ้าน Paraty (หรือ Parati) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1597 ก่อนที่จะกลายเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสอย่างเป็นทางการในปลายศตวรรษที่ 17  ( ค.ศ. 1667) เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง ‘กัวยานาส’ (Guaianás) อาศัยอยู่ ชาวกัวยานาส  เรียกพื้นที่ทั้งหมดว่า “Paraty” ในภาษาตูปี “ปารตี” แปลว่า “แม่น้ำปลา”
ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ จะมีร้านอาหารและบาร์ แต่นอกเหนือจากนี้ยังสามารถเดินเล่นเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมอิฐที่สวยงาม และหลงทางในละแวกใกล้เคียงที่มีเสน่ห์ได้ โบสถ์ซานตา ริต้า (Igreja de Santa Rita) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและมีการตกแต่งภายในแบบบาโรก ซึ่งปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่สร้างขึ้นในปี 1722
ถนนคนเดินในเมืองนี้เรียงรายไปด้วยอาคารสีขาวที่ประดับประดาด้วยเส้นขอบหลากสีอันสวยงาม และหน้าต่างบานเกล็ดที่กลมกลืนกับความงามของธรรมชาติที่โอบล้อมเมืองอย่างกลมกลืน บริเวณโดยรอบพาราตีเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ สวรรค์เขตร้อนแห่งนี้มองเห็นอ่าว Ilha Grande บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและภูเขาที่สวยงามที่สุดในบราซิลทางตะวันออกเฉียงใต้
ในฐานะมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ปาราตีเป็นเมืองที่มีความงามตามธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในถนนที่ปูด้วยหิน และสถาปัตยกรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างไม่มีที่ติจากพื้นที่อาณานิคม พาราตีก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1667 โดยเคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจด้วยโรงงานอ้อยมากกว่า 250 โรงที่ นอกจากนี้ยังเป็นจุดแวะที่สำคัญในเส้นทางการค้าทองคำและอัญมณีในศตวรรษที่ 18
พาราตี และเกาะอิลลากรังดิ (Paraty and Ilha Grande)ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อปี 2019 พื้นที่นี้เป็นที่อยู่ของสายพันธุ์ที่หลากหลายน่าประทับใจ ซึ่งบางชนิดก็ถูกคุกคาม เช่น จากัวร์ (Panthera onca) นกเพกคารีปากขาว (Tayassu pecari) และลิงหลายสายพันธุ์ รวมทั้งลิงแมงมุมขน (Brachyteles arachnoides) เป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่

Beautiful Small Towns #20 – ‘ทรัวส์’ (Troyes, France) 
เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ในแคว้นช็องปาญาร์แดน (Champagne-Ardenne) มีความโดดเด่นจากอุตสาหกรรมสิ่งทอของฝรั่งเศส ทั้งในด้านการผลิต ร้านค้า และโรงงานจำนวนมาก  
ทรัวส์เป็นศูนย์กลางยุคกลางที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส และแน่นอนว่าเมืองเก่าในทรัวส์เป็นอาคารที่สวยงามมากมาย โดยมีถนนคดเคี้ยวที่ปูด้วยหิน บ้านเรือนสูงตระหง่านล้อมรอบอาสนวิหารที่สวยงาม อาคารครึ่งไม้แบบดั้งเดิมที่งดงามซึ่งมีผนังสีแดง เหลือง ขาว หรือในโทนสีพาสเทลกับประตูไม้ที่ตกแต่งอย่างประณีตสวยงามจากศตวรรษที่ 16 ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพ่อค้าสิ่งทอผู้มั่งคั่ง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยมรดกดั้งเดิมของท้องถิ่น
มหาวิหารสไตล์โกธิกของแซงต์-ปีเตอร์และเซนต์ปอล (Cathedral of Saint-Peter and Saint Paul) สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 – 17 ในสไตล์แบบโกธิกเป็นศูนย์กลางของเมืองทรัวส์ ตกแต่งด้วยการ์กอยล์เหนือด้านหน้าอาคารด้านทิศตะวันตก ภายในมหาวิหารตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกสี 182 บาน
โบสถ์เซนต์แมเดลีน (Church of Saint-Madeleine) สมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในทรัวส์ และมีงานแกะสลักหินที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะแกรงไม้ รูปปั้น และหน้าต่างกระจกสี รวมถึงมหาวิหารเซนต์เออร์เบิน (Cathedral of Saint-Urbain) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของสไตล์โกธิก
ศาลาว่าการเมืองเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของอาคารยุคเรอเนสซองส์ในยุคหลังและสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17  อาคาร Hotel du Lion Noir บนถนน Rue Emile Zola และมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 บ้านหลังนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะมีบันไดด้านนอกที่เปิดโล่ง
ความมั่งคั่งทางสถาปัตยกรรมของใจกลางเมืองทำให้เราดื่มด่ำกับอดีตอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอ โรงงานเก่าที่หุ้มด้วยอิฐสีแดงยังคงรักษาส่วนหน้าอาคารเดิมไว้ ปัจจุบันได้รับการดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ความงามที่ผสมผสานวัสดุต่างๆ เช่น เหล็กหล่อและแก้ว สะท้อนถึงตลาดที่ครอบคลุมของทรัวส์    ผนังด้านนอกประดับด้วยเสา แต่ละเสามีหัวสิงโตเหล็กหล่อ และอาคารทั้งหลังถูกหุ้มด้วยโครงหลังคาโลหะ อาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1876

Beautiful Small Towns #21 – ‘โทรเกียร์’ (Trogir, Croatia) 

เมืองประวัติศาสตร์ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ระหว่างแผ่นดินใหญ่ของโครเอเชีย และ เกาะชิโวโว่ (Ciovo)

ชาวเวเนเชียนเรียก Trogir เรียกว่า Trau ตัวเมืองตั้งอยู่ภายในกำแพงยุคกลางบนเกาะเล็กๆ เมืองเก่ายังคงรักษาอาคารที่สวยงามและสมบูรณ์ไว้มากมายตั้งแต่ยุครุ่งเรืองระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 15 เมืองและอาคารสไตล์โรมาเนสก์และเรเนสซองส์จำนวนมากได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997

ประวัติศาสตร์ของเมืองเริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกจากเกาะ Vis ได้ก่อตั้งนิคม Tragurion ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันซึ่งกำลังขยายไปทั่วแดลเมเชีย (Dalmatia) ในเวลานั้น (บริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติกที่ในประเทศโครเอเชียปัจจุบัน) โทรเกียร์อยู่ภายใต้การปกครองของฮังการีและโครเอเชียในช่วงสองสามศตวรรษถัดไป รวมถึงการปกครองของกษัตริย์โครเอเชีย-ฮังการี (Béla IV of Hungary) ในปี 1242

ในปี 1420 พื้นที่ส่วนใหญ่ของแดลเมเชียกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเวเนเชียน (Venetian) จนกระทั่งการล่มสลายของจักรวรรดิในปี 1797 จากนั้นโทรเกียร์ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย  หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโทรเกียร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซอร์เบีย โครแอต และ สโลวาเกีย และถูกอิตาลียึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1991 เมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครเอเชียหลังจากการประกาศอิสรภาพ

เมืองเก่าโทรเกียร์มีเสน่ห์ด้วยถนนที่ปูด้วยหินแคบ อาคารหินปูน และทางเดินริมทะเลอันกว้างขวาง ทั้งเมืองเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่มีโบสถ์ ป้อมปราการ และพระราชวังจำนวนมาก โบสถ์สไตล์โรมาเนสก์ที่สวยงามเสริมด้วยอาคารยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรกที่โดดเด่นตั้งแต่สมัยเวนิส

 ‘มหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์’ (Cathedral of St. Lawrence) ซึ่งเริ่มก่อสร้างในปี 1213 ส่วนหลักของวิหารสร้างเสร็จในปี 1250 หอระฆังสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 14 และ 16 และสามารถปีนขึ้นไปเพื่อชมทิวทัศน์อันตระการตาจากด้านบน จะมองเห็นโบสถ์เซนต์จอห์น  (Chapel of St John) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1468 และถือเป็นภาพยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ดีที่สุดในดัลเมเชีย

บางส่วนของกำแพงเมืองสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 14 ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันทางฝั่งใต้ของเมือง ตรงกลางกำแพงเมืองคือประตูเมืองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1593 พระราชวังวังซิปิโก (The Cipiko Palaces) ตรงข้ามกับอาสนวิหาร เป็นที่ตั้งของตระกูลผู้สูงศักดิ์ของเมืองในศตวรรษที่ 15

Beautiful Small Towns #22 – ‘วิลเลมสตัด’ (Willemstad, Curaçao) 
เมืองหลวงและเมืองใหญ่ของคูราเซา ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของเกาะคูราเซาในทะเลแคริบเบียน ประเทศเนเธอร์แลนด์ เคยเป็นเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ แอนทิลลีส* (Netherlands Antilles) จนกระทั่งอาณาเขตนั้นถูกยุบในปี 2010
(*เนเธอร์แลนด์ แอนทิลลีส ก่อตั้งขึ้นในปี 1954 ในฐานะรัฐสืบทอดของอาณานิคมดัตช์แห่งกือราเซากับเมืองขึ้น และ ยุบตัวใน ค.ศ. 2010 เกาะในดินแดนทั้งหมดที่เคยอยู่ในเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรในปัจจุบัน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังคงเรียกคนที่มาจากอดีตดินแดนนี้ว่า ‘ชาวแอนทิลลีส’)  
พื้นที่ประวัติศาสตร์ของวิลเลมสตัดเป็นตัวอย่างของการค้าขายและการตั้งถิ่นฐานในอาณานิคม ก่อตั้งขึ้นโดยชาวดัตช์บนเกาะคูราเซาซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคริบเบียน เริ่มต้นด้วยการก่อสร้างป้อมปราการอัมสเตอร์ดัม (Fort Amsterdam) ในปี 1634 บนฝั่งตะวันออกของอ่าว Sint Anna เมืองนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายศตวรรษต่อมา
วิลเลมสตัด ประกอบด้วยเขตประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงยุคต่างๆ ของการวางผังเมืองและการพัฒนาเมืองอาณานิคม เขต ‘ปุนดา’ (Punda) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ทางฝั่งตะวันออกของอ่าว Sint Anna ติดกับป้อมปราการอัมสเตอร์ดัม และเป็นเพียงส่วนเดียวของเมืองที่มีระบบป้องกันซึ่งประกอบด้วยกำแพงและเชิงเทิน อีกสามเขตเมืองประวัติศาสตร์คือ Pietermaai, Otrobanda และ Scharloo มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ป้อม Water Fort และ ป้อม Rif Fort ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1820  
สถาปัตยกรรมของวิลเลมสตัดไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังได้รับอิทธิพลจากภูมิอากาศแบบเขตร้อนและรูปแบบสถาปัตยกรรมจากเมืองต่างๆ ทั่วภูมิภาคแคริบเบียนด้วย ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวมีส่วนร่วมในการค้าขาย บ้านพักยุคแรกสร้างขึ้นในปุนดาตามการออกแบบเมืองของชาวดัตช์ ในศตวรรษที่ 18
นอกจากนี้ ความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมจากชาวแอฟโฟรอเมริกัน ไอบีเรีย และคาริบเบียน มีส่วนทำให้ประเพณีการก่อสร้างและชีวิตทางวัฒนธรรมของเมืองมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีการดัดแปลงในระดับภูมิภาคด้วยสีสันที่หลากหลายของแคริบเบียน อาคารที่มีสีสันของวิลเลมสตัดเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นตั้งแต่ปี 1817
ในปี 1997 เขตประวัติศาสตร์ของวิลเลมสตัดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก นี่แสดงถึงการยอมรับทั่วโลกถึงคุณค่าอันโดดเด่นของเมืองชั้นในอันเก่าแก่และท่าเรืออันเก่าแก่ของเมือง

Beautiful Small Towns #23 – ‘ลูเนนเบิร์ก’ (Lunenburg, Canada) 
เมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก เขตประวัติศาสตร์แห่งชาติ ผู้ชนะรางวัลชุมชนในเมืองเล็กๆ ที่สวยที่สุดในแคนาดา
ลูเนนเบิร์กที่งดงามตระการตาตั้งอยู่ริมชายฝั่งที่สวยงามทางตอนใต้ของ ‘โนวา สโกเชีย’ (Nova Scotia) ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแคนาดา เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมของอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1753 โดยยังคงรูปแบบเดิมที่เอกลักษณ์ของเมืองได้ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยการรักษาสถาปัตยกรรมไม้ของบ้านเรือน  พร้อมตัวอย่างที่โดดเด่นมากมายของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีอายุมากกว่า 240 ปี
ริมน้ำที่มีสีสันของลูเนนเบิร์ก ถนนแคบๆ และสถาปัตยกรรมที่มีเสน่ห์ทำให้ได้กลิ่นอายของมรดกการเดินเรือของเมือง ที่นี่ยังคงเป็นท่าเรือที่ใช้งานได้จริง เรือประมงและอู่ต่อเรือตั้งอยู่ริมน้ำ และคนในท้องถิ่นจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยวิถีทางทะเลแบบดั้งเดิม
อาคารและบ้านเรือนเก่าแก่หลายสิบหลังที่มีอายุนับย้อนไปถึงปี 1760 ได้รับการบำรุงรักษาอย่างสวยงาม และถนนยังคงเป็นไปตามผังเมืองดั้งเดิมของปี 1754 ระดับการอนุรักษ์โดยเฉพาะนี้ทำให้เมืองเก่าของ ลูเนนเบิร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995

Beautiful Small Towns #24 – ‘รากีรา’ (Ráquira, Colombia) 
หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโคลอมเบีย เป็นที่รู้จักในระดับสากลในด้านสีของงานฝีมือ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,150 เมตร (7,050 ฟุต) ในภูเขาโบญาก้า ภาคกลางของโคลอมเบีย มีประชากรเพียง 3,400 คน
Ráquira หมายถึง “เมืองหม้อ” ในภาษา Chibcha (“rua” หมายถึงหม้อและ “quira” หมายถึงเมือง) รากีรายังได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงของ ‘เครื่องปั้นดินเผา’ ของโคลอมเบียอีกด้วย อาคารและระเบียงที่มีสีสัน การผลิตเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิกที่สวยงามซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะจะปรากฏชัดตั้งแต่วินาทีที่ผู้มาเยือนมาถึง อาคารบ้านเรือนและร้านค้าสีสันสดใสถ่ายทอดความสุขของผู้อยู่อาศัย เฉดสีที่มีตั้งแต่สีน้ำเงิน แดง เขียว ไปจนถึงขาว และชมพู ไม่เพียงเพราะสีพาสเทลของด้านหน้าอาคารเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสีสดใสของผ้า เซรามิก และงานหัตถกรรมอื่นๆ
งานหัตถกรรมเป็นแหล่งรายได้หลักในรากีรา ชาวพื้นเมืองใช้ดินเหนียวก่อนการมาถึงของชาวสเปนในดินแดนอเมริกา ความหลากหลายของสีเป็นสิ่งที่ชวนให้นึกถึงรากีรามากที่สุด สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันด้วยบ้านเรือน ถนน และจตุรัสกลางที่ประดับประดาด้วยชิ้นส่วนที่ทำจากดินเหนียวมากมายนับไม่ถ้วน ความโดดเด่นของงานที่ทำจากดินเหนียว การทอกระเป๋า ตะกร้า ชุดกระโปรง เปล และงานปั้นหม้อดินแบบดั้งเดิมอีกด้วย นอกจากจะสวยงามที่สุดแล้ว 75% ของเศรษฐกิจของเมืองมาจากการขายและส่งออกเครื่องปั้นดินเผา
เมืองเล็ก ๆ แห่งรากีรา ซึ่งอยู่ห่างจากวิลลา เด เลย์วา (Villa de Leyva) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 25 กม. น่าจะเป็นเมืองที่ตกแต่งอย่างมีสีสันที่สุดในโคลอมเบีย

Beautiful Small Towns # 25 – ‘สติกกิโชลมูร์’ (Stykkisholmur, Iceland) 
เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ในไอซ์แลนด์ตะวันตก และอยู่ใกล้กับแหล่งธรรมชาติอันน่าทึ่งมากมาย สองแห่งที่สำคัญที่สุดคือ Mount Kirkjufell และ Snæfellsjökull National Park  
ทางด้านใต้ของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น หน้าผาหินบะซอลต์ ‘ลอนดรังการ์’ ชายหาดสำหรับชมแมวน้ำ ‘Ytri Tunga’ และ ‘ช่องเขาเราด์เฟลด์สกยา’
สติกกิโชลมูร์มีประชากรประมาณ 1200 คน เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ และเป็นศูนย์กลางหลักของการบริการและการพาณิชย์ ยังเป็นประตูสู่เกาะ Flatey และฟยอร์ดทางตะวันตกอีกด้วย มีกำหนดการเดินทางโดยเรือข้ามฟากจากท่าเรือทุกวัน
สติกกิโชลมูร์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะมีการผูกขาดการค้าระหว่างเดนมาร์ก-ไอซ์แลนด์ เหตุผลหลักที่เมืองนี้มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าในสมัยก่อนคือท่าเรือธรรมชาติที่มีสภาพเรือที่ดีเยี่ยม ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ทำมาหากินในอุตสาหกรรมประมง แต่การท่องเที่ยวก็เป็นภาคส่วนสำคัญของการจ้างงานเช่นกัน
ทุกปีตั้งแต่ปี 1994 ในสุดสัปดาห์ที่สามของเดือนสิงหาคม สติกกิชฮอลเมอร์จะจัด ‘วันเดนมาร์ก’ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และต่อเนื่องระหว่างเมืองและประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองน้องสาวของโคลดิงในเดนมาร์ก
สติกกิโชลมูร์ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ ผู้อยู่อาศัยในเมืองได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างบริการสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒนธรรมสำหรับคนรุ่นต่อไป ที่สามารถมองเห็นได้ในใจกลางเมืองที่มีบ้านเรือนที่สวยงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมทั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านในท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ในบ้านเก่าที่สร้างขึ้นในปี 1828
แม้ว่า ‘ภูเขาเคิร์กจูเฟล’ (Kirkjufell) จะได้รับฉายาว่าเป็นภูเขาที่มีการถ่ายภาพมากที่สุดของไอซ์แลนด์ แต่ฉากที่เป็นตัวแทนของกรีนแลนด์ในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้’ (The Secret Life of Walter Mitty) ถ่ายทำในสติกกิโชลมูร์ และนวนิยายสงครามชื่อดัง ‘Red Storm Rising’ ที่เขียนโดย Tom Clancy ก็ใช้เมืองนี้เป็นจุดลงจอดของกองทหารอเมริกันที่ปลดปล่อยไอซ์แลนด์จากเงื้อมมือของโซเวียต

Beautiful Small Towns #26 – ‘ไรย์’ (Rye, England) 
อังกฤษไม่เคยขาดแคลนเมืองในหนังสือนิทาน จากหมู่บ้านที่งดงามตระการตาของ ‘Cotswolds’ ไปจนถึงเมืองแปลกตาของ ‘Lake District’ แต่ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งในประเทศที่มีเสน่ห์และความสวยงามซ่อนอยู่ นั่นคือ ‘ไรย์’ ที่ถือว่าเป็นความลับที่ดีที่สุดของอังกฤษ
ไรย์ตั้งอยู่บนเนินเขาในซัสเซ็กซ์ตะวันออก (East Sussex) ระหว่างเนินเขาเขียวขจีและช่องแคบอังกฤษ นี่คือเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ป้อมปราการของเมืองมีบทบาทสำคัญในการป้องกันชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ ทุกวันนี้แม่น้ำไม่ได้จอดเรือรบอีกต่อไปแต่เป็นที่ตั้งของกองเรือประมงในท้องถิ่น
หนึ่งพันปีที่แล้ว เมืองเล็กๆ แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลเกือบทั้งหมด ทะเลเริ่มถอยห่างจากตัวเมืองเมื่อหลายศตวรรษก่อน แม่น้ำที่คดเคี้ยวกว่าครึ่งไมล์จากไรย์ถึงชายฝั่ง ทำให้แม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพอันงดงามที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวหลายแห่ง
โรงแรมเมอร์เมดอินน์บนถนนเมอร์เมด ถนนที่สวยที่สุดของไรย์ ที่แก๊งลักลอบขนของในศตวรรษที่ 18 และ 19 ใช้เพื่อเก็บของสะสมที่นี่และในโรงแรม Old Bell Inn เนื่องจากโรงแรมทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินลับ
หอคอยโบสถ์เซนต์แมรี (St Mary’s Church) เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในการชมหลังคาดินเผาของบ้านครึ่งไม้สไตล์ทิวดอร์และจอร์เจียที่คดเคี้ยวเรียงรายไปตามถนนที่ปูด้วยหิน อาคารเก่าแก่ เครือข่ายอุโมงค์และทางเดินลับ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ลักลอบนำเข้าและโจรกรรมตลอดศตวรรษที่ 18 และ 19 มักดึงดูดทีมงานภาพยนตร์ให้ค้นหาสถานที่ทางประวัติศาสตร์สำหรับการผลิตย้อนยุค
ไรย์เป็นที่ชื่นชอบของกวี ศิลปิน นักเขียน นักดนตรี และคนดังหลายคนทำให้ไรย์เป็นบ้านของพวกเขา ซึ่งเป็นสวรรค์ยุคกลางที่ราชวงศ์มาเยี่ยมเป็นระยะๆ ในปี ค.ศ. 1573 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 ทรงพระราชทานสมญานามว่า “ไรย์ รอยัล” หลังจากประทับอยู่สามวัน
ทั้งหมดนี้และอีกมากมายทำให้ไรย์เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ สมกับเป็นสถานที่พักผ่อนในอุดมคติเพื่อการ พักผ่อนระยะสั้นที่ผ่อนคลาย มีโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหารที่มีเสน่ห์มากมาย ทำให้ไรย์เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในอังกฤษ

Beautiful Small Towns # 27 – ‘อูบุด’ (Ubud, Indonesia) 
เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นชุมชนนานาชาติที่เจริญรุ่งเรือง อุดมไปด้วยศิลปะและศูนย์กลางของงานฝีมือแบบบาหลีรวมถึงการเต้นรำแบบดั้งเดิมและทัศนียภาพอันงดงาม เนื่องจากระดับความสูงที่ 200 เมตรเหนือระดับน้ำ อูบุดจึงมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าบริเวณชายฝั่ง
เมืองชนบทดั้งเดิมแห่งนี้เป็นบ้านของราชวงศ์บาหลีและศูนย์ศิลปะที่เฟื่องฟู อูบุดยังเป็นศูนย์รวมงานฝีมือที่เฟื่องฟูอีกด้วย อูบุดมีหมู่บ้านเล็กล้อมรอบ  เช่น คัมพวน เปเนสตานัน เปเลียตัน และบาตวน เชี่ยวชาญด้านงานฝีมือและงานแกะสลักไม้ซึ่งมีขายทั่วทั้งเกาะ มีร้านค้าหลายร้อยแห่งที่จำหน่ายของเก่า งานแกะสลักไม้ งานฝีมือ สิ่งทอ ภาพวาด และเครื่องประดับ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ดีที่สุดในประเทศ
อูบุดได้ชื่อว่าเป็นหัวใจทางวัฒนธรรมของบาหลี เป็นที่รู้จักกันว่ามีอายุมากกว่า 1,000 ปี ราชวงศ์เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงยุคมาจาปาหิตของบาหลี และในศตวรรษที่ 20 พวกเขาได้รับการต้อนรับจากอาณานิคมดัตช์ ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ของบาหลี เป็นผลให้อูบุดถูกทอดทิ้ง
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1920  ครูสอนนาฏศิลป์ ดนตรี และละครที่เก่งที่สุด ถูกนำตัวมายังอูบุดเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับกษัตริย์และถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาแก่คนในท้องถิ่น
มีการแสดงการเต้นรำอันเป็นเอกลักษณ์มากมาย อย่าง ระบำเลกอง (Legong Dance-รูปแบบการฟ้อนรำที่ประณีตโดดเด่นด้วยการเคลื่อนไหวของนิ้วที่ซับซ้อนและท่าทางที่แสดงออก รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า), ระบำรามายณะ, ระบำบาริส (Baris Dance-เป็นการแสดงเกี่ยวกับการเตรียมตัวออกศึก), ระบำลิง (Kecak) และ ระบำไฟ (Sanghyang-การเต้นรำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และดำเนินการเฉพาะในพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูบาหลี)  
ศาสนาฮินดูแบบบาหลียังคงแข็งแกร่งในอูบุดมากกว่าที่อื่นในบาหลี พิธีเผาศพหรือการเฉลิมฉลองบางอย่าง ศาสนาฮินดูแบบบาหลีแตกต่างจากอินเดีย และซึมซับจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความงามที่ไม่ธรรมดาของภูมิประเทศของบาหลี เช่น นาข้าว ภูเขา หุบเขาแม่น้ำ หมู่บ้าน และวัดโบราณ

Beautiful Small Towns #28 – ‘เซนต์อีฟส์’ (St.Ives, Cornwall, United Kingdom)
‘อัญมณีอันตระการตาที่ประดับในมงกุฎของคอร์นวอลล์’ ท่าเรือประมงที่งดงาม และเมืองชายทะเลได้รับการโหวตให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวที่ดีที่สุดโดยนิตยสาร Coast Magazine
เซนต์อีฟส์ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของอังกฤษ ทางฝั่งตะวันตกสุดของคอร์นวอลล์ ในช่วงยุคกลาง เซนต์อีฟส์เจริญรุ่งเรืองในฐานะท่าเรือประมง ในที่สุดก็กลายเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดบนชายฝั่งทางเหนือของคอร์นวอลล์ มีเส้นทางเดินสั้นๆ รอบเมืองที่อยู่หลายแห่ง และเส้นทางเซนต์ไมเคิลส์ (St. Michaels Way) ที่เพิ่งเปิดใหม่ซึ่งมีระยะทาง 12 ไมล์ข้ามคาบสมุทรไปยังภูเขาเซนต์ไมเคิล เส้นทางนี้เป็นเส้นทางโบราณที่ผู้แสวงบุญจากไอร์แลนด์และเวลส์ใช้มุ่งหน้าไปยัง Santiago de Compostela ในสเปน
เมืองนี้ตั้งชื่อตาม St.Ia (นักบุญเอียนแห่งคอร์นวอลล์ เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาชาวไอริช) ที่กล่าวกันว่าสร้างโบสถ์ที่นี่ในศตวรรษที่ 6  
เซนต์อีฟส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นรีสอร์ทชายทะเลที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรตาม British Heritage Magazine เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้เป็นมากกว่าชายหาดที่สวยงาม ทะเลระยิบระยับ และเสน่ห์แบบเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ยังเป็นถนนแคบๆ สนามหญ้าอันอบอุ่นสบายที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ อากาศบริสุทธิ์จากทะเล และผู้คนที่มีอัธยาศัยดี
ทางรถไฟเซนต์อีฟส์ เปิดให้บริการในปี 1877 เส้นทางวิ่งระหว่างเซนต์เอิร์ธและเซนต์อีฟส์ ถือได้ว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ทางรถไฟทอดยาวไปตามชายฝั่งซึ่งให้ทัศนียภาพอันตระการตาของอ่าวเซนต์อีฟส์  
หลายคนมาถึงที่นี่เพื่อเยี่ยมชมชายหาด ‘Porth Meor’ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นเซิร์ฟที่ยอดเยี่ยมและบ้านเรือนที่เรียงรายตามชายทะเล ชานเมืองเซนต์อีฟส์เป็นเนินเขาค่อนข้างสูง โดยมีพื้นที่สูงชันหลายแห่ง บริเวณท่าเรือ ถนนอันร่มรื่นที่ปูด้วยหินที่แคบและคดเคี้ยว กระท่อมหินแกรนิตสีน้ำผึ้ง แกลเลอรี่ เหมาะสำหรับเดินเที่ยว ตลาด ผับบรรยากาศดี และร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมทำให้เซนต์อีฟส์น่าหลงใหล เซนต์อีฟส์ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องว่าเป็นสถานที่ที่เหมือนแคริบเบียนที่สุดในสหราชอาณาจักร ในขณะเดียวกันก็รักษาจิตวิญญาณของคอร์นิชที่แท้จริงไว้

Beautiful Small Towns #29 – ‘วานากา’ (Wanaka, New Zealand) 
หมู่บ้านที่มีชีวิตชีวานี้ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบวานากาซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของนิวซีแลนด์ และเทือกเขาแอลป์ตอนใต้ของเกาะใต้ที่สวยงาม ทางตะวันตกของโอทาโกที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลก  
เมืองวานากา เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้นหาการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการผจญภัยกลางแจ้งและความหรูหราในร่ม มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้า และพื้นที่โดยรอบมากมายสำหรับการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีกิจกรรมผจญภัยมากมาย  วานากายังดึงดูดนักปีนเขา นักพายเรือคายัค นักปีนผา นักปั่นจักรยาน และเที่ยวจากทั่วโลกที่ชื่นชมธรรมชาติของพื้นที่และบรรยากาศที่เป็นกันเองที่ผ่อนคลายของเมือง
ความงดงามทางธรรมชาติอันงดงามของภูเขา ทะเลสาบ และป่าไม้ อาหาร และไวน์ชั้นเยี่ยม ทั้งหมดนี้มีฉากหลังเป็น ‘อุทยานแห่งชาติเมาน์แอสไพริง’ (Mt Aspiring National Park) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘เตวาฮิโปว์นามู’ Te Wāhipounamu – พื้นที่มรดกโลกทางตะวันตกเฉียงใต้ของนิวซีแลนด์
อัญมณีแห่งภูมิภาคนี้คือยอดเขาเมาน์แอสไพริง (3,027 เมตร) ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นดินแดนในฝันของภูเขา ธารน้ำแข็ง หุบเขาแม่น้ำ และทะเลสาบบนเทือกเขาแอลป์ ในอดีต ชาวเมารีเคยเดินผ่านบริเวณนี้ระหว่างทางไปยังทุ่งโปนามูทางชายฝั่งตะวันตก ชาวยุโรปเข้าเยี่ยมชม และสำรวจลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ และอพยพผู้ตั้งถิ่นฐานพยายามทำฟาร์มและทำเหมืองในหุบเขา
ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักตกปลา ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักตกปลามือใหม่ ปลา Rainbow Trout หรือ Brown Trout ที่มีมากมายในทะเลสาบวานากา

Beautiful Small Towns #30 – ‘เทนบีย์’ (Tenby, Wales) 
เมืองชายทะเลที่โด่งดังที่สุดในเวลส์ ในด้านความแปลกตาและมีเสน่ห์ ได้รับรางวัล Silver Award สำหรับรีสอร์ทชายฝั่งทะเลที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรจากรางวัล British Travel ในปี 2016
ถนนที่ปูด้วยหินแคบๆ และบ้านในยุคกลางช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมือง ชายหาดที่เงียบสงบ และบรรยากาศที่อบอุ่น และบ้านสไตล์วิคตอเรียนที่สวยงาม คนในท้องถิ่นเรียกเทนบีย์ว่าเป็นเมืองชายทะเลที่สวยที่สุดในเวลส์
เมืองดั้งเดิมของเทนบีย์ถูกเรียกว่า ‘Dinbych-y-Pysgod’ ในภาษาเวลส์ที่แปลว่า “เมืองเล็กๆ แห่งปลา” มีการตั้งถิ่นฐานที่นี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่แท้จริงแล้วการรุกรานของนอร์มันทางตอนใต้ของเวลส์ทำให้เมืองเติบโตขึ้นในฐานะท่าเรือและศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ เทนบีย์ได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการเล็กๆ ซึ่งปัจจุบันคือ ‘Castle Hill’ ชาวนอร์มันสร้างเมืองที่มีป้อมปราการและกำแพงเมืองซึ่งส่วนใหญ่ยังคงล้อมรอบเมืองยุคกลางไว้ด้านหลัง แต่มีเพียงหอคอยเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ภายในกำแพงเมืองเก่า  
ระหว่างสมัยจอร์เจียนและวิคตอเรีย เทนบีย์กลายเป็นรีสอร์ทชายทะเลยอดนิยม ถนนสายเก่าที่ปูด้วยหิน บ้านสีพาสเทล ทางเดินเล่นทั้งสองด้านของเมืองเก่าบนเอสพลานาดและนอร์ตันมีส่วนทำให้สถาปัตยกรรมของเมืองดูโดดเด่น มุมมองโปสการ์ดคลาสสิกของท่าเรือเทนบีย์ มาจากถนน ‘The Norton’ ที่ทอดยาวไปตามหน้าผาเหนือชายหาด ‘North Beach’  
การพัฒนาพื้นที่ริมทะเลสทางฝั่งตะวันตกนอกกำแพงเมือง ค่อนข้างจำกัด แต่ยังคงรักษาบรรยากาศทั่วไปของเมือง โรงแรมโอ่อ่าริมถนนเอสพลานาดมองเห็นหาด ‘South Beach’ ศูนย์กลางของเทนบีย์ คือถนนสายเล็กๆ แคบๆ คล้ายเขาวงกต ที่ในช่วงฤดุร้อนบาร์และร้านอาหารต่างก็ตั้งที่นั่งกลางแจ้งสำหรับดื่มดำกับแสงแดดอ่อน มีร้านค้าที่น่าสนใจและแปลกตามากมาย เทนบีย์ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์โดยอุทยานแห่งชาติ Pembrokeshire Coast ในปี 1972

จำนวนผู้เข้าชม 49 ครั้ง