เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์ :

09.00 - 18.00 น.

วันเสาร์

09.00-13.00 น.

เราช่วยคุณได้

@oneworldtour

Travel License : 11/05298

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

28

Oct

อิตาลี

Beautiful Small Towns หมู่บ้านเล็ก ๆ อันสวยงาม ที่ซ่อนเล้นอยู่ทั่วโลก

Beautiful Small Towns #1 – ‘วาเรนนา’ (Varenna, Italy) 
Beautiful Small Towns หมู่บ้านชาวประมงที่มีอายุย้อนกลับไปพันกว่าปี ซึ่งเป็นอัญมณีที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นของทะเลสาบโคโม
หมู่บ้านวาเรนนาที่มีเสน่ห์บนชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบโคโมที่งดงามราวภาพวาด ตั้งอยู่ในแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี ชุมชนเล็กๆ นี้ก่อตั้งโดยชาวประมงท้องถิ่นในปี ค.ศ. 769
ตรอกซอกซอยคดเคี้ยวที่ลาดเอียงจากทะเลสาบจะนำเราผ่านสถาปัตยกรรมอิตาลีแบบดั้งเดิมไปจนถึงวิลล่าสีพาสเทล คาเฟ่ที่สวยงามน่ารักเข้าสู่บริเวณจัตุรัสหลักของเมืองที่โดดเด่นด้วยโบสถ์ Chiesa di San Giorgio ในศตวรรษที่ 14
ภูเขาด้านบนของหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของปราสาทยุคกลางที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ที่ชื่อว่า ‘ปราสาทเวซิโอ’ (Castle of Vezio) ซึ่งเป็นด่านทหารโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องและควบคุมทะเลสาบและหมู่บ้านตามประสงค์ของราชินีแห่งลอมบาร์ด ‘เทโอโดลินดา’ (Teodolinda)
ความงามที่ละเอียดอ่อนสร้างความประหลาดใจและอารมณ์ให้กับผู้ที่เดินทางไปตามย่านต่างๆ หรือชอบที่จะเดินไปตามเส้นทางที่ล้อมรอบเยี่ยมชมวิลล่าที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘วิลล่า โมนาสเทโร’ (Villa Monastero) หรือขึ้นสู่ปราสาทบนยอดเขาเพื่อชมทัศนียภาพแบบ 360 องศาของทะเลสาบโคโม
ความสงบที่ผ่อนคลายนี้ทำให้หมู่บ้านวาเรนนาเหมาะสำหรับผู้มาเยือนที่ใส่ใจและอ่อนไหวรักความสงบที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี และยังได้ชิมอาหารรสเลิศและไวน์ชั้นดีอีกด้วย

Beautiful Small Towns #2 – ‘อัลเบอโรเบลโล’ (Alberobello, Italy) 
หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบารี (Bari) แคว้นปูลยา (Puglia) ทางตอนใต้ของอิตาลี เมืองเล็ก ๆ ที่แปลกตาและงดงามแห่งนี้นี้เต็มไปด้วยบ้านน่ารักที่ดูเหมือนต้นไม้สีขาวและมีมงกุฎสีเข้ม เรียกว่า ‘ตรูลี’ (Trulli) หรือ “ตรูโล” (Trullo)
‘Trullo’ เป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการก่ออิฐแห้งซึ่งไม่มีปูนหรือวัสดุอื่นๆ ยึดหินเข้าด้วยกันซึ่งน่าจะอยู่ในปูลยาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 4 กระท่อมที่ถูกสร้างสไตล์อาปูเลียน (Apulian) นี้จะมีหลังคาทรงกรวยลักษณะเป็นโครงสร้างแบบดั้งเดิมและเรียบง่ายมีให้เห็นอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างเฉพาะสำหรับหุบเขาอิเตรีย (Itria Valley)
คำว่า ‘Trullo’ มาจากคำภาษากรีกโบราณที่แปลว่า “โดม” ประวัติของกระท่อมเหล่านี้ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 15 เมื่อพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรเนเปิลส์เรียกเก็บภาษีการตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองอัลเบอโรเบลโลทั้งหมด Earls of Conversano ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในอัลเบอโรเบลโล จึงสั่งให้ชาวนาสร้างบ้านด้วยหินที่ทำให้ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างชั่วคราวและง่ายต่อการรื้อถอนซึ่งไม่สามารถเก็บภาษีได้
ตามตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินจะพบกับร้านค้าบรรยากาศสบายๆ ร้านอาหารทั่วไปที่สามารถลิ้มลองอาหารอาปูเลียนที่ดีที่สุด เช่น เนื้อหมูเย็นสไตล์อิตาลีของมาร์ตินาฟรานกา (Capocollo di Martina Franca) ออเร็คคิเอเต้พาสต้า (Orecchiette) กับรสไม่มีใครเทียบได้ ชีสสดเบอร์ราตาและเนื้อม้า และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือการลิ้มรสไวน์ Primitivo ไวน์ชั้นดีจากโรงกลั่นไวน์ Tormaresca
อัลเบอโรเบลโลแห่งเดียวมีบ้านที่อยู่อาศัยเหล่านี้มากกว่า 1,000 แห่งซึ่งนำไปสู่การได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1996

Beautiful Small Towns #3 – ‘กีออจจา’ (Chioggia, Italy) 
เมืองที่มีเสน่ห์รองจากเวนิส อันโคนา และบารี อยู่ในแคว้นเวเนโต้ของอิตาลี เป็นท่าเรือประมงขนาดกลางที่อยู่ภายในทะเลสาบเวเนเชียน แต่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ผ่านสะพานถนนสั้นๆ สองสามแห่ง  
ชาวอิทรุสกันเคยตั้งรกรากที่นี่และในสมัยโรมันเรียกเมืองนี้ว่า ‘โคลเดีย’ (Clodia) ช่วงเวลาที่โด่งดังที่สุดของเมืองเกิดขึ้นเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเวนิส และในที่สุดเวนิสก็เอาชนะเจนัวด้วยการรบทางเรือในช่วงสงคราม ‘สมรภูมิกีออจจา’ (Battle of Chioggia) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1380 หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน
กีออจจา อาจเป็นเสมือนเหมืองที่ย่อส่วนจากเมืองเวนิส มีคลองสองสามแห่ง โดยมี Canale Vena เป็นคลองหลักและมีถนนแคบๆ ที่เรียกว่า ‘คาลลี’ (calli) จากบริเวณ Piazzetta Vigo ที่มีสะพานโค้ง ‘Ponte di Vigo’ ที่มีลักษณะเฉพาะและตรงกลางจัตุรัสมีเสาสูงที่มี Lion of Saint Mark (ปลายศตวรรษที่ 18)  
Palazzo Granaio อาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง Palazzo Granaio อาคารในสไตล์โกธิคสร้างขึ้นในปี 1322 เดิมตั้งอยู่บนเสา 64 ต้น ทำหน้าที่เป็นโกดังเก็บเมล็ดพืชของเมือง
พระราชวัง Palazzo Mascheroni-Lisatti เป็นอาคารที่มีลักษณะเฉพาะที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดในปี 1560 ต่อมาพระราชวังได้ส่งต่อไปยังตระกูล Mascheroni ซึ่งได้ทำการบูรณะบ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามพระราชวังแห่งนี้ก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม
Corso del Popolo ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่กว้างผ่านใจกลางศูนย์กลางประวัติศาสตร์เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นช้อปปิ้งหรือเพลิดเพลินกับนั่งดื่มกาแฟกลางแจ้ง
โบสถ์ในยุคกลางหลายแห่งซึ่งได้รับการปรับปรุงในช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในศตวรรษที่ 16 และ 17 โบสถ์เซนต์มาเรีย (The church of Santa Maria) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 11 กลายเป็นมหาวิหารในปี 1110 จากนั้นก็สร้างขึ้นใหม่หลังจากไฟไหม้ในปี 1623 เป็นวิหารกีออจจา (Chioggia Cathedral) ถัดจากวิหารคือหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 14 

Beautiful Small Towns #4 – ‘คาสเทลเมซซาโน่’ (Castelmezzano, Italy) 
หนึ่งใน ‘หมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี’ (Borghi Pi Bor Belli d’Italia) ในเมืองโปเตนซา ในแคว้นบาซิลิกาต้า ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี
ต้นกำเนิดของเมืองบนภูเขานี้มีอายุราว ๆ ระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึง 5 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวกรีกได้ก่อตั้งเมืองชื่อ “Maudoro” ที่มีความหมายว่า ‘โลกแห่งทองคำ’
อย่างไรก็ตามโครงสร้างปัจจุบันได้ก่อตัวขึ้นในยุคกลางจากการสร้างป้อมปราการของชาวนอร์มันซึ่งเรียกว่า ‘Castrum Mediani’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘Castelmezzano’
บริเวณที่มีโขดหินที่มีลักษณะคล้ายภูเขาโดโลไมท์ที่อยู่ตอนบนของอิตาลีแห่งนี้เป็นดั่งประติมากรรมธรรมชาติขนาดมหึมาที่คอยปกป้องเมืองประวัติศาสตร์อันเก่าแก่นี้อย่างเงียบๆ มีหมู่บ้านสองแห่งที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ คือ ‘คาสเทลเมซซาโน่’ (Castelmezzano) อยู่บนความสูง 985 เมตร และ ‘ปิเอตราเปอร์โตซา’ (Pietrapertosa) ที่อยู่บนความสูง 1,088 เมตร ที่ห่างจากกันไม่เกินหนึ่งกิโลเมตรและคั่นด้วยหุบเหวลึกของภูเขาโดโลมิตีลูแคน (Dolomiti lucane)  
ที่นี่มีกิจกรรมที่จะกระตุ้นอะดรีนาลีนของเหล่านักท่องโลกมากกว่าที่อื่นๆ คือสิ่งที่เรียกว่า “เที่ยวบินนางฟ้า” (Angel Flight) ที่เราต้องมัดตัวเองกับสายเคเบิลเหล็กและบินเหินข้ามหุบเขาลึกที่กั้นคาสเทลเมซซาโน่ไปยัง ปิเอตราเปอร์โตซา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

Beautiful Small Towns #5 – “เชฟชาอูน” (Chefchaouen, Morocco)
“ไข่มุกสีฟ้าแห่งโมร็อกโก” — เมืองที่มีสีฟ้าที่สุดในโลก — เป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโมร็อกโก
เชฟชาอูน ก่อตั้งขึ้นในปี 1471 ในเทือกเขาริฟทางตอนเหนือของโมร็อกโก โดย ‘อิบัน ราชิด อัล อาลามิ’ หรือที่รู้จักกันในนาม Sherif Moulay Ali Ben Rachid เพื่อเป็นป้อมปราการขนาดเล็กเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของโปรตุเกส
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 (ปี 1492) หลังจากการยึดพื้นที่คืนของชาวคริสต์จากชาวมัวร์ที่นับถืออิสลาม หรือเรียกว่า ‘เรกองกิสตา’ (Reconquista) มีผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมและชาวยิวจากสเปนหลั่งไหลเข้ามา รวมถึงชนเผ่าโกโมราห์ (Ghomara) ได้เข้ามาตั้งรกรากที่นี่ ต่อมาในปี 1920 สเปนได้ยึดเมืองเชฟชาอูน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสเปน จากนั้นในที่สุดโมร็อกโกก็นำเชฟชาอูนก็กลับเข้าร่วมอีกครั้งหลังการประกาศเอกราชในปี 1956  
ตามความเชื่อของชาวยิว สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของสวรรค์และทำให้พวกเขานึกถึงพระเจ้า ประเพณีนี้ยังคงมีความเข้มแข็งในปัจจุบัน ชุมชนชาวยิวจึงทาสีฟ้าและใช้ผ้าสีฟ้าปูรองในการละหมาดตั้งแต่ช่วงปี 1930 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามผู้อยู่อาศัยที่มีอายุมากกว่ากล่าวว่าอาคารส่วนใหญ่เคยเป็นสีขาวมาก่อน มีเพียงส่วนของชาวยิวเท่านั้นที่ใช้เป็นสีฟ้า
ชาวบ้านส่วนหนึ่งเชื่อว่าเฉดสีฟ้าขับไล่ยุง เหตุผลก็คือแมลงไม่ชอบอยู่ในน้ำ ผนังเชดสีฟ้าดูเหมือนน้ำกำลังไหล พวกเขาเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยไล่ยุงและแมลงได้อย่างแน่นอนเพราะว่าบ้านของชาวยิวที่ทาสีฟ้ามียุงน้อยลง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะทาสีบ้านของพวกเขาให้เป็นสีฟ้าเช่นกัน
ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งระบุว่าความร้อนเป็นสาเหตุของสี การใช้สีฟ้าหรือสีน้ำเงินทำให้บ้านเย็นสบายในเดือนที่อากาศร้อน แม้ว่านี่อาจไม่ใช่เหตุผลดั้งเดิมแต่ก็เป็นเหตุผลที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ในยุคปัจจุบันนี้
ประชากรชาวยิวในเมืองส่วนใหญ่ย้ายไปยังอิสราเอลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พวกเขาทิ้งมรดกของอาคารสีฟ้าไว้เบื้องหลัง ประเพณีการทาสีฟ้านี้ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเนื่องจากรัฐบาลของเมืองได้จัดเตรียมพู่กันและสีให้ชาวเมืองเชฟชาอูนพิเศษเพื่อใช้ทาสีเมืองให้เป็นสีฟ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ากำลังเดินอยู่ในอาณาจักรบนท้องฟ้าในตำนาน…

Beautiful Small Towns #6 – ‘อิทซาน คาล่า’ 
ป้อมปราการในเมืองคีว่า (Itchan Kala, Khiva) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอุซเบกิสถาน
กำแพงโบราณที่ล้อมรอบเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดแวะสำคัญบนเส้นทางสายไหม และเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับกองคาราวานที่จะออกสู่ท้องทะเลทราย
ตามข้อมูลทางโบราณคดี เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 1500 ปีที่แล้ว อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของ Khwarezmia และ Khanate of Khiva เมืองคีว่า แบ่งออกเป็นสองส่วน เมืองชั้นนอกเรียกว่า ‘ดิทซาน คาล่า’ (Dichan Kala) เดิมมีกำแพงล้อมรอบที่มี 11 ประตู
เมืองชั้นใน ‘อิทซาน คาล่า’ (Itchan Kala) ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐซึ่งเชื่อกันว่ามีการวางรากฐานในศตวรรษที่ 10 กำแพงล้อมรอบในปัจจุบันมีอายุย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และมีความสูง 10 เมตร ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของกำแพงกั้นซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้อิฐโคลนมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 5
กำแพงที่สวยงามไม่ได้เป็นสมบัติชิ้นเดียวของเมือง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ อิทซานคาล่าเป็นภาพที่น่าประทับใจที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปนับพันปี อาคารที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่มาจากต้นศตวรรษที่ 19 มีอาคาร 250 หลังตั้งอยู่ภายในกำแพง
มัสยิด Djuma ซึ่งเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในอิทซานคาล่า ป้อมปราการ Kunya-Ark ที่ซับซ้อนของพระราชวัง Tash Hauli หอคอยสุเหร่า Caltha Minor ที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบอย่างสมบูรณ์ มัสยิด Juma ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีเสาแกะสลัก 213 เสาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ สุเหร่า Khiva Islam-Khoja เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างที่สวยงามของสถาปัตยกรรมอิสลามในเอเชียกลางโบราณทั้งหมด
ในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านโบราณ คีว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่านับถือโดยมีเหล่าพ่อค้าทาสแวะเวียนมาและไปตลอดทั้งปี หากในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชื่อเสียงของคีว่าเริ่มจางหายไป ด้วยการถือกำเนิดของระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียตทำให้เมืองนี้ถูกลืมและอิทซานคาล่าก็เช่นกัน
ทุกวันนี้ผู้คนในคีว่า มองอิทซาน คาล่าเป็นเหมือนสัญญาณเตือนจากอดีตอันยิ่งใหญ่ที่ที่ตกทอดมาถึงพวกเขา และอิทซาน คาล่า เป็นสถานที่แรกในอุซเบกิสถานที่ได้รับการจารึกไว้ในบัญชีมรดกโลกในปี 1991

Beautiful Small Towns #7 – ‘มาร์ซักลอคค์’ (Marsaxlokk, Malta) 
หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่งดงาม ตั้งอยู่ริมอ่าวมาร์ซักลอคค์ทางทางตะวันออกเฉียงใต้ของมอลตา
คำว่า ‘Marsa’ หมายถึง ‘ท่าเรือ’ ในภาษามอลตา ส่วน xlokk คือ ‘ลมตะวันออกเฉียงใต้’ พื้นที่นี้เป็นจุดหักเหของอาณาจักรโรมัน เมื่อโจรสลัดซาราเซ็น กองทัพออตโตมัน และกองทัพฝรั่งเศสภายใต้นโปเลียนคอยทั้งหมดนี้ผลัดกันบุกเกาะเล็กๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้
เป็นท่าเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดของมอลตามาตั้งแต่สมัยโบราณและปัจจุบันปลาส่วนใหญ่ที่ขายบนเกาะถูกจับโดยชาวประมงที่มาจากหมู่บ้านนี้ เรือประมงแบบดั้งเดิมขนาดใหญ่ที่เพ้นท์สีเรือเป็นรูป ‘ดวงตา’ บริเวณหัวเรือ เรียกว่า ‘ลูซซัส’ (Luzzus) ตั้งเรียงรายอยู่ที่ท่าเรือทาสีด้วยสีแดงเหลืองเขียวและน้ำเงินที่สดใสลอยอยู่บนผืนน้ำที่เงียบสงบของอ่าวซึ่งกลายเป็นมุมของการถ่ายภาพจำนวนนับไม่ถ้วน
มาร์ซักลอคค์มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวฟินีเซียนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงมอลตาได้มาค้าขายและตั้งถิ่นฐานที่นี่ กองเรือตุรกีเคยมาจอดทอดสมอระหว่างการปิดล้อมครั้งใหญ่ในมอลตา (Great Siege of Malta) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามออตโตมันในยุโรป และสงครามออตโตมัน-ฮับสบวร์กในปี 1565 และกองทัพของนโปเลียนก็มาถึงที่นี่ระหว่างการรุกรานของฝรั่งเศสในปี 1798
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 น้ำทะเลอันเงียบสงบของอ่าวถูกใช้เป็นที่จัดแสดงเรือเหาะ Short C-Class สี่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของบริษัท Britain’s Imperial Airways ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเดินทางทางอากาศทางไกล
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอ่าวมาร์ซักลอคค์ถูกใช้เป็นฐานทัพของเครื่องบินรบ Fleet Air Arm และในปี 1989 ‘ช่วงสงครามเย็น’ ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำโซเวียต ‘มิคาอิล กอร์บาชอฟ’ และประธานาธิบดี ‘จอร์จ บุช’ ของสหรัฐอเมริกา
ป้อมปราการของ Fort San Lucjan หรือ Lucian สร้างขึ้นในปี 1610  โดยคณะอัศวินบริบาล (Knights Hospitaller หรือ Order of Saint John) ของราชอาณาจักรซิซิลี (1530-1798) นี่คือหอสังเกตการณ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในมอลตา ปัจจุบันหอคอยนี้เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ทางทะเลของมหาวิทยาลัยมอลตา  

Beautiful Small Towns #8 – ‘โคตอร์’ (Kotor, Montenegro) 
หนึ่งในเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่บนชายฝั่งดัลเมเชีย ติดกับคาบสมุทรบอลข่าน ประเทศมอนเตเนโกร
โคตอร์โดดเด่นด้วยย่านเมืองเก่าที่สร้างขึ้นโดยชาวเวนิส กำแพงสมัยศตวรรษที่ 9 ผสมผสานเข้ากับแนวภูเขา ถนนที่ปูด้วยหินคดเคี้ยวโบสถ์หินและบ้านหลังคาสีส้มที่ล้อมรอบด้วยกำแพงป้อมปราการและมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่าน มีกลิ่นอายคล้ายๆ กับเมืองดูบรอฟนิกในโครเอเชีย หรือที่เรียกว่า ‘Kings Landing’ จาก ‘Game of Thrones’ แต่โคตอร์มักจะเงียบกว่าดูบรอฟนิกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง
โคตอร์เคยถูกปกครองปกครองโดยชาวอิลลิเรียน จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบเซนไทม์ จักรวรรดออสเตรีย-ฮังกาเรียน และชาวเวนิส ผู้พิชิตเหล่านี้ได้ทิ้งมรกดไว้มากมายไว้เบื้องหลัง เช่น Sea Gate ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของเมืองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1555 ภายใต้การปกครองของเวนิส, พระราชวังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหอคอยสไตล์บาโรกและมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ‘มหาวิหารเซนต์ไทรฟอน’ (Cathedral of Saint Tryphon) ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1166 เพื่ออุทิศให้กับผู้พิทักษ์เมือง หอระฆังสไตล์บาโรกถูกเพิ่มเข้ามาในปี 1667 และมีเสาแบบโครินเธียนแบบคลาสสิกช่วยเพิ่มความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์แบบดั้งเดิม รวมถึงโรงละครของนโปเลียนในศตวรรษที่ 19 ฯลฯ
อนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมและศิลปะจำนวนมากเหล่านี้ทำให้ โคตอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้เมื่อปี 1979  
การเดินสำรวจเมืองเก่าด้วยการเดินเท้าและดื่มด่ำกับบรรยากาศ แวะจิบเครื่องดื่มที่บาร์แห่งใดแห่งหนึ่งหรือเลือกรับประทานอาหารมอนเตเนกรินแบบดั้งเดิม ‘Japraci’ สตูว์เนื้อเข้มข้นพร้อมพริกเครื่องเทศและข้าว
หรือจะขึ้นสู่ป้อมเซนต์จอห์นบนยอดเขาที่มีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 6 มองเห็นทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของเมืองท่าเรือ กับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง

Beautiful Small Towns #9 – ‘อิรูยา’ (Iruya, Argentina)
“อัญมณีที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา ที่สุดของปลายพิภพ” หมู่บ้านเล็กๆ อันงดงาม ตั้งอยู่ในจังหวัดซัลตาไม่ไกลจากชายแดนโบลิเวีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา
เมืองที่งดงามราวภาพวาดซึ่งขึ้นชื่อด้านความงามทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรูยาที่ระดับความสูง 2,780 ม. (9,120 ฟุต) ภายในเทือกเขาอัลติพลาโน (Altiplano) มีประชากรเพียง 1,070 คน  
เส้นทางออฟโรดเริ่มต้นจากเมือง ‘ฮูมาฮัวคา’ (Humahuaca) ไปยังอิรูย่าเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหุบเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,780 เมตร คนในท้องถิ่นนั้นชวนให้นึกถึงชาวโบลิเวียมากกว่าชาวอาร์เจนตินาที่มีผมเปียยาวสีดำมัดรวบไว้ที่ส่วนปลายกระโปรงสั้นเป็นชั้นๆ และหมวกปีกกว้างที่บางครั้งก็ประดับด้วยดอกไม้สด
‘Iruya’ มาจากภาษา ภาษาเกชัว (Quechua) เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในทวีปอเมริกาใต้ แปลว่า “อุดมสมบูรณ์ไปด้วยฟาง” ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1753 แต่ชาวพื้นเมืองกลุ่มแรกมาตั้งรกรากที่นี่ราว 100 ปีก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นลูกหลานของชาวอินคา เรียกว่า Qulla (คนพื้นเมืองทางตะวันตกของประเทศโบลิเวีย ชิลีและอาร์เจนตินาที่อาศัยอยู่ในซัลตา-Salta เมืองคูคุย-Jujuy) แต่อิรูยาก็ยังไม่ได้รับการก่อตั้งขึ้นจนถึงปี 1753
โบสถ์ของเมือง Iglesia Nuestra Senora del Rosario y San Roque สร้างขึ้นในปี 1690 และในปี 1995 เมืองอิรูยา ได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ
เมืองอิรูยาอยู่ห่างจากเมืองฮูมาฮัวคาไปทางเหนือ 73 กม. และห่างจากแนวหุบเขา ‘คูบราดา เดอ ฮูมาฮัวคา’ (Quebrada de Humahuaca) ซึ่งเป็นมรดกโลกเพียง 90 กม.

Beautiful Small Towns #10 – ‘ซิดิ บู ซาอิด’ (Sidi Bou Said, Tunisia)
“ไข่มุกสีน้ำเงินและสีขาวแห่งตูนิเซีย” หรือ ซานโตรินีแห่งตูนีเซีย ตั้งอยู่บนยอดหน้าผาสูงชันและรายล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหิน สวนที่เต็มไปด้วยเฟื่องฟ้าและดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมของดอกมะลิ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้างานศิลปะ แผงขายของที่ระลึก และร้านกาแฟ ประตูและโครงไม้ระแนงทาสีฟ้าที่สวยงามตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของอาคารบ้านเรือน ซิดิ บู ซาอิดเป็นเมืองชายทะเลที่สวยงามและงดงามที่สุดในตูนิเซีย
เมืองนี้ได้รับการตั้งชื่อตาม “อบู ซาอิด อัล-บาจี” Abu Said Ibn Khalef Ibn Yahia El-Beji นักบุญชาวมุสลิม หลังจากเดินทางจาริกแสวงบุญไปยังนครเมกกะแล้วเขาก็กลับบ้านและแสวงหาความสงบเงียบของหมู่บ้านเล็กๆ ในเขตชานเมืองตูนิสชื่อ ‘เยเบลเอล – มานาร์’ (Jebel El-Manar) ชื่อหมู่บ้านมีความหมายว่า “The Fire Mountain” ซึ่งหมายถึงสัญญาณไฟที่จุดบนหน้าผาในสมัยโบราณเพื่อนำทางเรือที่เดินเรือผ่านอ่าวตูนิส
อาบูซาอิดเสียชีวิตในป 1231 หลุมฝังศพของเขากลายเป็นสถานที่แสวงบุญของชาวมุสลิมผู้เคร่งศาสนา และเมื่อเวลาผ่านไปเมืองก็เติบโตขึ้น จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 เมืองนี้ได้นำโทนสีฟ้าและสีขาวที่โดดเด่นมาใช้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังของ โรดอล์ฟ แดร์ลังเจอร์ (Baron Rodolphe d’Erlanger) จิตรกรชาวฝรั่งเศสและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานในการส่งเสริมดนตรีอาหรับซึ่งอาศัยอยู่ในซิดิ บู ซาอิดตั้งแต่ปี 1909 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1932
พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า Ennejma Ezzahra หรือ Sparkling Star เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักในวัฒนธรรมอาหรับของบารอน สถาปัตยกรรมแบบนีโอ-มัวร์เป็นเกียรติแก่เทคนิคการสร้างโบราณของอารเบียและอันดาลูเซีย ด้วยประตูโค้งที่สวยงามและตัวอย่างงานแกะสลักไม้ งานปูน และกระเบื้องโมเสคอันน่าทึ่ง
ตั้งแต่นั้นมาเมืองนี้ก็กลายเป็นมีความหมายเหมือนกันกับศิลปะและความคิดสร้างสรรค์โดยจัดให้มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับจิตรกร นักเขียน และนักข่าวที่มีชื่อเสียงหลายคน พอล คลี (Paul Klee) ศิลปินชาวเยอรมันได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงามของเมืองนี้ และ อ็องเดร ฌีด (André Gide) นักเขียนและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมมีบ้านอยู่ที่นี่
ในปี 1915 ซิดิ บู ซาอิดได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย (ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกร่วมกับแหล่งโบราณคดีคาร์เธจในบริเวณใกล้เคียง)

Beautiful Small Towns #11 – ‘โจวจวง’ (Zhouzhuang, China) 
เมืองแห่งสายน้ำ ในเจียงหนาน (ทางใต้ของแม่น้ำแยงซี) ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี
หมู่บ้านโบราณแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 900 ปี และมีบ้านเรือนและสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1911)
โจวจวง เมืองที่มีชื่อเสียงในด้านภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน ตั้งอยู่ในเมืองคุนซาน บ้านพักอาศัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทิวทัศน์อันสวยงามของสายน้ำ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีสีสันในท้องถิ่น มีประมาณ 1,000 ครัวเรือนอาศัยอยู่ในบ้านเก่าที่สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง และยุคสาธารณรัฐตอนต้น
“โจวจวง” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “หมู่บ้านโจว” หมู่บ้านที่ตั้งชื่อตามโจวตี้กง Zhou Digong เป็นชาวพุทธที่เคร่งศาสนา ในปี 1088 ระหว่างราชวงศ์ซ่งเหนือ ที่ได้บริจาคที่ดิน 13 เฮกตาร์ของเขาให้กับวัดวัดเฉวียนฝู (Quanfu Temple) ต่อมาชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกดินแดนนี้ว่า “หมู่บ้านโจว” – โจวจวงเพื่อขอบคุณในความเอื้ออาทรของโจวตี้กง
โจวจวงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบและแม่น้ำ คลองที่ตัดผ่านโจวจวงมีสะพานหินหลายแห่ง สะพาน 14 แห่งถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น เช่น สะพานฟูอัน (ซึ่งถือเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโจวจวงที่สร้างขึ้นในปี 1355 ในสมัยราชวงศ์หยวน) สะพานเจิ้นเฟิงอยู่ที่ปากแม่น้ำจงซี สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี หรือ สะพานแฝด เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดและถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่เงียบสงบ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิว่านลี่ (1573-1619)

Beautiful Small Towns #12 – ‘โกคายามะ’ (Gokayama Historic Village, Japan) 
ในภูเขาที่ห่างไกลจากจังหวัดกิฟุไปยังจังหวัดโทยามะ หมู่บ้านชิราคาวะโกะ (白川郷, ชิราคาวาโก) และโกคายามะ (五箇山) เรียงรายไปตามหุบเขาแม่น้ำโชกาวะ หมู่บ้านเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกขององค์การยูเนสโกของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1995
หมู่บ้านบนภูเขาห่างไกลที่มีบ้านสไตล์กัสโชในชิราคาวาโกะ และโกคายามะบนที่ราบสูงฮิดะตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่ถูกตัดขาดจากส่วนอื่นๆ ของโลกมาเป็นเวลานาน ชาวบ้านยังดำรงชีพด้วยการเพาะปลูกต้นหม่อนและการเลี้ยงไหม แม้จะมีความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ หมู่บ้านเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคมและเศรษฐกิจของผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทิวทัศน์ของหมู่บ้านบนภูเขาที่มีบ้านแบบดั้งเดิมตั้งอยู่เคียงข้างกันเป็นเหมือนดั่งเทพนิยาย
บ้านที่มีลักษณะเฉพาะนี้ถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ‘กัสโช-สึคุริ’ (Gassho-zukuri) หมายถึง ‘การอธิฐาน’ ในที่นี้หมายถึงรูปทรงสามเหลี่ยมของหลังคาเหมือนกับการผสานมือประกบกันในการสวดมนต์
การออกแบบสถาปัตยกรรมได้พัฒนาขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อให้ทนต่อหิมะจำนวนมากที่รุมเร้าอยู่ในภูมิภาคนี้ บ้านสไตล์กัสโชสร้างด้วยท่อนไม้และเชือกโดยไม่มีตะปู วิธีนี้มีความสำคัญสำหรับการรองรับหลังคาที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว
บ้านที่มีหลังคามุงจากจะอบอุ่นอย่างไม่คาดคิดในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน มีเตาผิง “อิโรริ” (“irori”) อยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น ไฟจากเต่ผิงจะทำให้ห้องอุ่นขึ้น และควันก็ลอยขึ้นบนเพดานและหลังคาฝ้ารมควันทำให้บ้านแข็งแรง
ในโครงสร้างหลายชั้นนั้น ชั้นที่สามและสี่มีลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการแสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลของเกษตรกร ที่สามารถเลี้ยงไหมได้แม้ในฤดูหนาว โดยหนอนไหมจะถูกกักไว้ในห้องใต้หลังคาซึ่งความร้อนจากชั้นหนึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น หลังคาที่มีความลาดเอียง 60 องศาเพื่อให้หิมะตกหนัก (บางครั้งอาจสูงถึงสี่เมตร) เลื่อนไหลออกไปได้ง่ายขึ้น
เมื่อมาถึงโกคายามะให้ลองไปที่หมู่บ้าน เออิโนะคุระ (Ainokura) ซึ่งมีบ้าน 24 หลังตั้งอยู่หน้าฉากหลังเป็นภูเขาหรือหมู่บ้าน ซุกานุมะ (Suganuma) ที่มีบ้านเก้าหลังซึ่งสองหลังสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (1603-1867) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และบ้าน ‘อิวาเซะ’ (Iwase) ซึ่งเป็นบ้านสไตล์กัซโชที่ใหญ่ที่สุดในโกคายามะ

Beautiful Small Towns #13 – ‘ปาร์กา’ (Parga, Greece) 
เมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในอ่าวเล็กๆ บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคเอพิรุส ประเทศกรีซ บ้านเรือนที่อบอวลไปด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมของชาวเวนิส (คฤหาสน์ทรงเตี้ยสีสันสดใสพร้อมหลังคากระเบื้องเซรามิกที่มองเห็นทะเลปราสาทและถนนที่ปูด้วยหินกรวด) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครอบครองพื้นที่นี้ ต้นไม้เขียวชอุ่ม สวนมะกอก และพืชพรรณรายรอบบริเวณ โดยเฉพาะน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์-มรกตที่สวยงามสดใส
ในสมัยโบราณพื้นที่ของปาร์กาเป็นที่อาศัยของชนเผ่ากรีกโบราณที่เรียกว่าชาว ‘เธสโปรเทียน’ (Thesprotians) มีหลักฐานว่าอ่าว ปาร์กามีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคอารยธรรมไมซีนี  168 ปีก่อนคริสตกาลชาวมาซิโดเนียพ่ายแพ้ต่อโรมันในสมรภูมิ ‘Battle of Pydna’ ซึ่งทำให้นายพลชาวโรมัน ‘ลูเซียส อมิเลิย สพอลลัส เมซโดนิคัส’ (Lucius Aemilius Paullus -229-160 BC) ทำลายเมืองทั้งหมดของเอพิรุสรวมถึงปาร์กา
ปี ค.ศ. 1360 ชาวปาร์กาหลีกเลี่ยงการโจมตีของชาวอัลเบเนียจึงได้ย้ายหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับยอดเขา ‘เปโซโวโล’ (Mt.Pezovolo) มายังที่ตั้งปัจจุบัน ปาร์กาน่าจะสร้างขึ้นใกล้กับที่ตั้งของเมืองโทรีนโบราณซึ่งมีการกล่าวถึงในบทละครเรื่อง ‘แอนโทนี และคลีโอพัตรา’ ของเชกสเปียร์ ในช่วงเวลานั้นชาวนอร์มันซึ่งถือครองคอร์ฟูได้ช่วยชาวเมืองสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันโจรสลัดและศัตรูที่อยู่ใกล้เคียง
ชาวเวเนเชียนเข้ายึดเกาะไอโอเนียนในปี 1401 ปาร์กันก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา แต่ชาวเวนิสเคารพวิถีชีวิตของชาวปาร์กาที่ให้ความช่วยเหลือชาวเวนิสต่อต้านกับพวกออตโตมัน เนื่องจากปาร์กาเป็นหมู่บ้านชาวคริสต์ที่เป็นอิสระเพียงแห่งเดียวของเอพิรุส  
หมู่เกาะไอโอเนียนและปาร์กาตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพฝรั่งเศสและในปีค.ศ.1800 ต่อมาในปี 1815 กองทัพนโปเลียนพ่ายแพ้ในสมรภูมิวอเตอร์ลู ชาวเมืองปาร์กาได้ลุกฮือต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสและขอความคุ้มครองจากอังกฤษ แต่ในปี 1817 ตามสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษและจักรวรรดิออตโตมัน อังกฤษได้มอบปาร์กาให้กับออตโตมาน
ชาวปาร์กาไม่เคยหยุดที่จะฝันที่จะเป็นอิสระ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่พวกเขาต้องรอเกือบ 100 ปี กว่าที่ปาร์กาและเอพิรุสจะได้รับการปลดปล่อยจากการปกครองของออตโตมันในปี 1913 หลังจากชัยชนะของกรีซในสงครามบอลข่าน (Balkan Wars)

Beautiful Small Towns #14 – ‘ซนอยโม’ (Znojmo, Czech Republic) 
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Dyje ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์โน ใกล้ชายแดนเช็กฯ-ออสเตรีย เมืองซนอยโมมีอายุย้อนไปถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ได้รับสถานะเป็นเมืองของราชวงศ์ในปี 1226 โดย พระเจ้าออทโทคาร์ที่ 1 แห่งโบฮีเมีย (Ottokar I of Bohemia) เป็นเมืองแรกในภูมิภาคโมราเวียใต้
ปี 1645 ระหว่างสงครามสามสิบปี ซนอยโมถูกรุกรานโดยกองทัพของ ‘เลนนาร์ต ทอร์สเตนส์สัน’ (Lennart Torstenson) นายพลแห่งกองทัพสวีเดน และในปี 1809 อาร์ชดยุกชาร์ลส์แห่งออสเตรีย และนโปเลียนพบกันที่ซนอยโมเพื่อจัดให้มีการสงบศึกหลังยุทธการที่วากรัม *(Battle of Wagram-การรบระหว่างจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 กับจักรวรรดิออสเตรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้รับชัยชนะ จนทำให้เกิดสนธิสัญญาเชินบรุน)
ซากของป้อมปราการ กำแพงเมืองและหอคอย รวมถึงบ้านเรือนในสมัยเรอเนซองส์และบาโรก ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเขตเมืองเก่า ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสาวรีย์โบราณ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของซนอยโม  
ระบบป้อมปราการของเมืองถือเป็นเมืองที่มีป้อมปราการที่ดีที่สุดของเส้นทางระหว่างเวียนนาและปราก ในศตวรรษที่ 17 และ 18 กำแพงยุคกลางไม่เพียงพออีกต่อไปเนื่องจากรูปแบบการสงครามพัฒนาเกินกว่าความสามารถในการป้องกัน และหลังจากสงครามนโปเลียนผู้นำเมืองค่อยๆ ดำเนินการรื้อถอนประตูกำแพงเมืองออกไป
ปราสาทซนอยโม สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ต่อมาสร้างขึ้นใหม่โดยเจ้าชายโมเรเวียจากราชวงศ์เพรมีสลิด และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
หอคอยของศาลาว่าการเป็นหนึ่งในอาคารยุคกลางที่สำคัญที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก หอคอยนี้มีความสูง 66.58 เมตร จุดชมวิวด้านบนสามารถมองเห็นบริเวณเชิงเขาที่ราบสูงโบฮีเมียน-มอเรเวียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเนินเขาปาลาวาทางตะวันออกเฉียงใต้ และหากทัศนวิสัยที่ดีเป็นพิเศษ ยังสามารถมองเห็นยอดเขาที่อยู่ห่างไกลจากเทือกเขาแอลป์ของออสเตรียอีกด้วย
เมืองใต้ดินของเมืองซนอยโม เป็นระบบทางเดินใต้ดินและห้องใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก และมีความยาวเกือบ 27 กม. และลึกถึง 4 ชั้น นอกจากพื้นที่ใต้ดินจะกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ยังค่อนข้างเก่าอีกด้วย จุดเริ่มต้นของการก่อสร้างทางเดินนี้มีอายุย้อนไปถึงช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 14 และ 15

Beautiful Small Towns #15 – ‘ดีสเซนโฮเฟน’ 
(Diessenhofen, Switzerland) หมู่บ้านเล็กๆ อยู่บนฝั่งแม่น้ำไรน์ ระหว่าง เมืองสไตน์ ฮัม ไรน์ และ เมืองชาฟฟ์เฮาเซิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ต้นกำเนิดของเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีอายุย้อนไปถึงปี 757 สะพานไม้ที่ปกคลุมเหนือแม่น้ำไรน์เชื่อมระหว่างดีสเซนโฮเฟน กับเมืองเกลลิงเงน ประเทศเยอรมนี สร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านศุลกากรและทำรายได้จากค่าผ่านทางข้ามแม่น้ำไรน์ ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของเมือง
ในคืนวันที่ 8-9 ตุลาคม ปี 1799 ทหารรัสเซียแห่งกองทัพคอร์ซาคอฟได้จุดไฟเผาสะพานขณะถอยทัพ การก่อสร้างสะพานใหม่เริ่มต้นขึ้นในปี 1814 ในในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1944) นักบินชาวอเมริกันได้ทิ้งระเบิดที่หัวสะพานทางเหนือที่ติดกับเขตเยอรมัน
ถนนแคบๆ และบ้านสูง บ่งบอกถึงลักษณะของเมืองเก่าในยุคกลางซึ่งที่ใหญ่ที่สุดในเขตทูร์เกา (Thurgau)   ภายในหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของ ‘โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน’ (Church of Saint Catherine) อารามโดมินิกันเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ และมีประวัติย้อนหลังไปถึงต้นศตวรรษที่ 13 เป็นสไตล์บาโรกตอนปลายในสวิตเซอร์แลนด์ ภายในตกแต้งด้วย แท่นบูชา รูปภาพ และภาพวาดบนเพดานอันงดงาม สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1735 ถึง ค.ศ. 1741 และได้รับการออกแบบโดยโยฮันน์ จาค็อบ บอมเมอร์ (Johann Jakob Bommer) ปรมจารย์ผู้สร้างออร์แกนต้นแบบจากไวน์การ์เทน (Weingaten)
หอคอยแขวนของดีสเซนโฮเฟน สร้างขึ้นในปี 1391 เพื่อใช้เป็นฐานวางปืนบนแม่น้ำไรน์โดยตรง ในปีค.ศ.1616 มันถูกดัดแปลงเป็นเรือนจำจนถึงราวปี 1800 และดัดแปลงมาเป็นโรงย้อมผ้าในปี 1828 จากนั้นตัวอาคารถูกปล่อยให้ร้างมาจนถึงปี 1880 และได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี 1947

จำนวนผู้เข้าชม 99 ครั้ง